กลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศกับคนที่เป็นโรค หรือคนที่ติดเชื้อ ทั้งจากการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และสามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ผ่านการถ่ายโอนเลือด หรือการใช้เข็มร่วมกันได้เหมือนกัน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ทำให้เกิดภาวะการมีบุตรยาก ทุพลภาพ และอาจตายได้ ซึ่งมผลกระทบต่อภาวะสุขภาพกาย และจิตใจและสุขภาพที่รุนแรงต่อทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กได้
โรคเอดส์ เกิดจากอะไร?
โรคเอดส์ (AIDS) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งเป็น อาการในระยะสุดท้ายของผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งเป็นระยะที่เสี่ยงเสียชีวิตมากที่สุด กล่าวคือ โรคเอดส์ เป็นกลุ่มอาการของโรคฉวยโอกาส เกิดจากการที่ร่างกายติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อเข้าไปจนถึงระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ เชื้อไวรัสจะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจนทำให้ผู้ป่วยมีจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ลดลง จนไม่สามารถต่อสู้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคแทรกซ้อนที่เรียกว่า โรคติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งทำให้ติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติ และอาการอาจจะรุนแรงจนเสียชีวิตในที่สุด
อาการของโรคเอดส์
โดยสามารถแบ่งระยะของโรคได้เป็น 3 ระยะหลักๆ ดังนี้
- ระยะเฉียบพลัน (Acute HIV Infectious) เกิดขึ้นที่ 2-4 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อ อาการที่เกิดขึ้นจะคล้ายๆ เป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อยตามร่างกาย อาจมีผื่นและปวดหัว ระยะนี้ ไวรัสจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้เกิดอาการดังกล่าว เพราะร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อเอชไอวีที่กำลังทำลายระบบภูมิคุ้มกัน
- ระยะสอง คือ ระยะสงบทางคลินิก (Clinical Latency Stage) เชื้อไวรัสยังคงอยู่ในร่างกาย แต่ไม่แสดงอาการ ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 10 ปี
- ระยะสุดท้าย คือ ระยะโรคเอดส์ (AIDS) เป็นระยะที่การติดเชื้อเอชไอวีได้พัฒนาเป็นโรคเอดส์
“ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาจทำให้ติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่าย และเสี่ยงเสียชีวิต”
โรคซิฟิลิส เกิดจากอะไร?
โรคซิฟิลิส (Syphilis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทรีโพนีมา พาลลิดัม (Treponema pallidum) โดยปกติจะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดผื่นหรือแผลตามผิวหนัง และ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงขึ้นหากไม่รักษา
โดยทั่วไปโรคซิฟิลิสจะเริ่มจากบาดแผล ซึ่งมักพบบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก ลักษณะของแผลจะเป็นแผลที่ไม่รู้สึกเจ็บ (Painless sore) หรือเรียกว่าแผลริมแข็ง (Chancre) การแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นสามารถเกิดได้ผ่านทางการสัมผัสบาดแผลนี้กับผิวหนังหรือเยื่อบุต่างๆ
อาการของโรคซิฟิลิส
ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum อาจไม่มีอาการอะไรเกิดขึ้นเลย และอาการอาจแสดงให้เห็นในระยะสุดท้าย หากอาการของโรคแสดง จะสามารถแบ่งเป็น 3 ระยะหลักๆ ได้ ดังนี้
- ระยะแรก : จะมีตุ่ม และแผลริมแข็ง (ช่วงประมาณ 10 – 90 วัน หลังจากได้รับความเสี่ยง ที่อาจจะเกิดอาการ) มักจะพบบริเวณอวัยวะเพศ หรือบริเวณที่สัมผัสกับเชื้อ โดยแรกๆ เป็นตุ่มเล็ก และแตกออกเป็นแผล ขอบนูน แข็ง แดง แต่ไม่เจ็บ และบางครั้งมักซ่อนอยู่ เกิดและหายได้เอง ทำให้ไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อซิฟิลิส
- ระยะที่สอง : ผื่น แดงๆ ออกดำ น้ำตาล มักขึ้นตาฝ่ามือ ฝ่าเท้า เริ่มเกิดขึ้น เมื่อแผลในระยะที่หนึ่งหาย มักจะเกิดขึ้นตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า และบางครั้งก็ขึ้นตามตัว แต่ผื่นนี้ก็สามารถหายไปได้เอง ในระยะที่สองนี้อาจะเรียกได้ว่า ระยะออกดอก หลังจากระยะนี้หายไปเองแล้ว อาจจะไม่มีอาการเกิดขึ้นอีกเลยเป็นปี
- ระยะที่สาม : ทำลายอวัยวะภายใน หลังจากเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดซิฟิลิส อาศัยอยู่ในร่างกายมากนานหลายปี มันก็จะลุกลามไปทั่วร่างกาย ทำลายอวัยวะต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง จนอาจทำให้พิการอัมพาต ไม่สามารถกลับเป็นปกติได้ และเสียชีวิต
เอดส์ กับซิฟิลิสเหมือนกันไหม
เอดส์ กับซิฟิลิส เป็นโรคคนละชนิดกัน โรคเอดส์เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี และซิฟิลิสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา แพลลิดัม โดยอาการของโรคนั้นก็มีความแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันนั้น คือ ช่องทางการติดต่อ สามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ จากแม่สู่ลูก
โรคเอดส์ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
การรักษาโรคเอดส์ในปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เป็นเพียงการรักษาด้วยการรับประทานยาต้านไวรัส เพื่อกดโรคไม่ให้เพิ่มจำนวนขึ้น หรือทำให้มีปริมาณน้อยที่สุด และลดอัตราความเสี่ยงในการเสียชีวิตลง ด้วยโรคเอดส์ก็เท่านั้น
โรคซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้
หากพบเชื้อโรคซิฟิลิสในระยะที่หนึ่ง และระยะที่สอง ซึ่งทั้งสองระยะนี้ สามารถรักษาให้หายขาดได้ไม่ยาก ด้วยการรับประทานยา หรือการฉีดยา หากปล่อยไว้ไม่เข้ารับการรักษา การติดเชื้อ ในระยะที่หนึ่ง หรือระยะสองที่มีโอกาสหาย อาจลุกลามไปถึงระยะที่สาม หรือสี่ ที่มีอาการร้ายแรงมากขึ้น จนการรักษาทำได้ยากขึ้น เพราะอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย ได้ถูกทำลายไปบ้างแล้ว หากปล่อยไว้ อาจทำให้เสียชีวิตลงได้
โดยโรคนี้ไม่สามารถรักษาได้ด้วยตนเอง ไม่สามารถซื้อยาทานเองได้ ต้องรักษาโดยแพทย์เท่านั้น อย่างไรก็ตามหากรักษาหายแล้ว ก็ต้องกลับมาตรวจซ้ำอีกทุก 3 เดือน และควรงดการมีเพศสัมพันธ์ไปจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
การเป็นโรคซิฟิลิส ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี
พบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคซิฟิลิส มักจะตรวจพบการติดเชื้อเอชไอวีด้วยเสมอ และผู้ป่วยที่มีแผลซิฟิลิสก็มักเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ กว่า 2-5 เท่า แสดงว่าการมีแผลซิฟิลิสทำให้สามารคติดเชื้ออื่นๆ ได้ง่ายขึ้น
การป้องกันโรคติดต่อที่ดีที่สุด
คือ การสวมใส่ถุงยางอนามัยเมื่อต้องการมีเพศสัมพันธ์ และระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ ไม่ทำพฤติกรรมเสี่ยงอันจะก่อให้เกิดการติดเชื้อเอชไอวี ซิฟิลิส และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ หากรู้สึกสงสัยหรือพบอาการที่อาจเป็นสัญญาณของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็น โรคซิฟิลิส โรคเอดส์ หรือไม่ ทางที่ดีคือ อย่าละเลย ควรรีบไปพบแพทย์ และรับการรักษาอย่างเหมาะสม ทั้งตนเองและคู่นอน เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ และภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา และหากไม่อยากเสี่ยงติดเชื้อ จึงควรศึกษาเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และเรียนรู้วิธีป้องกันตนเองเพื่อมีเพศสัมพันธ์อย่างถูกต้อง และปลอดภัยที่สุด
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องที่นี่
อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :
- ซิฟิลิส กับ เอดส์ เหมือนกันไหม? https://ชุดตรวจซิฟิลิส.com/ซิฟิลิส-เอดส์เหมือนกัน/
- ซิฟิลิส กับ เอดส์ เหมือนกันไหม? http://www.khuanlang.go.th/networknews/detail/198229/data.html
- โรคซิฟิลิส (syphilis) คืออะไร สาเหตุการเกิด อาการ วิธีรักษาและการป้องกัน https://www.bangkoksafeclinic.com/th/โรคซิฟิลิส/