การพูดถึงวัคซีน มักทำให้เรานึกถึงการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โควิด-19 หรือไวรัสตับอักเสบ แต่รู้หรือไม่ว่า วัคซีนบางชนิดสามารถ ลดความเสี่ยงจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในยุคที่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และประชากรที่มีพฤติกรรมเสี่ยง การใช้ถุงยางเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ วัคซีนจึงกลายเป็นอีกหนึ่งเกราะป้องกันที่ทุกเพศควรใส่ใจ

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คืออะไร?
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Infections: STI) คือ กลุ่มโรคที่สามารถติดต่อกันได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการสอดใส่ ช่องทางปาก หรือทวารหนัก รวมถึงการสัมผัสของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น หรือเลือด โรคเหล่านี้สามารถเกิดได้ทั้งในชาย และหญิง และบางโรคยังสามารถแพร่จากแม่สู่ลูกได้
ตัวอย่างโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย ได้แก่
- เอชไอวี
- ซิฟิลิส
- หนองใน
- เริมอวัยวะเพศ
- แผลริมอ่อน
- หูดหงอนไก่
- ไวรัสตับอักเสบบี และซี
วัคซีนป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คืออะไร?
วัคซีนป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ การให้สารกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (antigen) ซึ่งเลียนแบบเชื้อโรค หรือโปรตีนบางชนิดของเชื้อโรค โดยไม่ก่อให้เกิดโรคในตัวเอง เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกาย วัคซีนจะกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันผลิต แอนติบอดี (antibodies) และสร้าง หน่วยความจำภูมิคุ้มกัน (immune memory) ไว้สำหรับต่อสู้กับเชื้อจริงในอนาคต
ในกรณีของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วัคซีนบางชนิด เช่น วัคซีนป้องกันไวรัส HPV และไวรัสตับอักเสบบี ได้รับการพัฒนาเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่สามารถแพร่ผ่านกิจกรรมทางเพศ เช่น การสอดใส่ การสัมผัสของเหลวในร่างกาย หรือแม้แต่ทางปาก และทวารหนัก
ประโยชน์หลักของวัคซีนป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ลดโอกาสติดเชื้อก่อนที่จะเกิดความเสี่ยง
- ลดการแพร่เชื้อในระดับชุมชน (herd immunity)
- ลดความรุนแรงหากติดเชื้อ
- ลดความเสี่ยงโรคแทรกซ้อน เช่น มะเร็ง หรือภาวะตับอักเสบเรื้อรัง
วัคซีนไม่ได้ออกฤทธิ์ทันที ต้องอาศัยเวลาให้ภูมิคุ้มกันสร้างตัว (ประมาณ 1–2 สัปดาห์ขึ้นไปหลังฉีดแต่ละเข็ม) และอาจต้องฉีดเป็นชุด เช่น 2 หรือ 3 เข็ม ตามคำแนะนำของแพทย์
ทำไมวัคซีนจึงสำคัญในการป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์?
การป้องกันโรคด้วยวัคซีนถือเป็นกลยุทธ์ด้านสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพสูง และในกรณีของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วัคซีนมีความสำคัญอย่างยิ่งด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
- ป้องกันก่อนติดเชื้อ วัคซีนช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันรู้จัก และจดจำเชื้อโรค โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ติดเชื้อก่อน เมื่อเผชิญกับเชื้อจริงในภายหลัง ร่างกายสามารถตอบสนองได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสที่เชื้อจะตั้งหลัก และแพร่ในร่างกายได้
- ลดการแพร่ระบาดในวงกว้าง (Herd Immunity) หากประชากรส่วนใหญ่ได้รับวัคซีน จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) ซึ่งช่วยลดการแพร่กระจายของโรคไปยังคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยเรื้อรัง เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ ทำให้สังคมโดยรวมปลอดภัยขึ้น
- ลดความรุนแรงของโรค หากติดเชื้อ ในบางกรณี แม้จะได้รับเชื้อ แต่หากเคยฉีดวัคซีนไว้แล้ว อาการจะไม่รุนแรง เช่น ผู้ที่ฉีดวัคซีน HPV แล้วติดสายพันธุ์อื่น อาจไม่มีอาการหรือมีเพียงหูดขนาดเล็ก ไม่ลุกลามเป็นมะเร็ง
- ลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงในระยะยาว เชื้อบางชนิดที่มาทางเพศสัมพันธ์ อาจทำให้เกิดโรคร้ายแรงในอนาคต เช่น
- HPV → มะเร็งปากมดลูก / มะเร็งทวารหนัก / มะเร็งช่องปาก
- ไวรัสตับอักเสบบี → มะเร็งตับ / ตับแข็ง
วัคซีนจึงเป็นการลงทุนระยะยาว ที่คุ้มค่า เพื่อป้องกันโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ง่าย ๆ

วัคซีนป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีอะไรบ้าง?
การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นวิธีการเชิงรุกที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดอัตราการติดเชื้อ และลดภาระของโรคในระยะยาว วัคซีนที่ได้รับการรับรอง และมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนอย่างชัดเจนว่ามีผลในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีดังนี้:
วัคซีน HPV (HPV Vaccine)
HPV (Human Papillomavirus) เป็นไวรัสที่มีมากกว่า 100 สายพันธุ์ โดยบางสายพันธุ์สามารถทำให้เกิดหูดหงอนไก่ (genital warts) และบางสายพันธุ์มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับมะเร็ง เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งอวัยวะเพศชาย มะเร็งช่องปาก และมะเร็งทวารหนัก
วัคซีน HPV ที่ใช้ในปัจจุบัน ได้แก่
- วัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์ (ป้องกัน HPV 16 และ 18)
- วัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ (ป้องกัน HPV 6, 11, 16, 18)
- วัคซีนชนิด 9 สายพันธุ์ (เพิ่มสายพันธุ์ที่เกี่ยวกับมะเร็งอื่น ๆ)
ช่วงอายุที่แนะนำให้ฉีด
- ควรเริ่มฉีดในช่วงอายุ 9–14 ปี (มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อฉีดก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก)
- ผู้หญิง และผู้ชายอายุ 15–26 ปี ยังสามารถฉีดได้เพื่อป้องกันสายพันธุ์ที่ยังไม่เคยสัมผัส
กลุ่มที่อายุมากกว่า 26 ปี สามารถฉีดได้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยง เช่น ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM), ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ, ผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ความสำคัญในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) MSM มีความเสี่ยงสูงต่อการติด HPV ที่ทวารหนัก และบางรายอาจพัฒนาเป็นมะเร็งทวารหนักในอนาคต วัคซีน HPV จึงถือเป็นการป้องกันที่จำเป็นอย่างยิ่งในกลุ่มนี้
วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Vaccine)
ไวรัสตับอักเสบบี (HBV) เป็นไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายกว่าการติดเชื้อเอชไอวี และสามารถแพร่ผ่านทางเลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่ง และการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หากติดเชื้อเรื้อรัง อาจนำไปสู่ภาวะ ตับอักเสบเรื้อรัง, ตับแข็ง และมะเร็งตับ
ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับวัคซีน HBV
- เป็นวัคซีน พื้นฐานในประเทศไทย ที่เด็กแรกเกิดทุกคนจะได้รับตั้งแต่แรกคลอด
- ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน หรือไม่มีภูมิคุ้มกัน ควรฉีดโดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น เปลี่ยนคู่นอนบ่อย, มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน, ใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น, หรือทำงานในสถานพยาบาล
รูปแบบการฉีด
- ฉีด 3 เข็ม (เดือนที่ 0, 1, และ 6) หรืออาจมีรูปแบบเร่งรัดตามคำแนะนำของแพทย์
- ตรวจภูมิคุ้มกันหลังฉีดได้ หากไม่ขึ้นภูมิ อาจต้องฉีดซ้ำ
วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A Vaccine)
ไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) เป็นเชื้อที่ติดต่อผ่านการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อน รวมถึงจากการสัมผัสอุจจาระของผู้ที่ติดเชื้อ และยังสามารถแพร่ผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้ โดยเฉพาะกิจกรรมทางเพศที่มีการสัมผัสทางปากกับทวารหนัก (oral-anal sex หรือ rimming)
แม้ HAV มักไม่ก่อให้เกิดโรคตับเรื้อรังเหมือน HBV แต่การติดเชื้อสามารถทำให้เกิด อาการรุนแรง โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในผู้ที่มีโรคตับเรื้อรังอยู่เดิม
ใครควรได้รับวัคซีน HAV
- ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย (MSM)
- ผู้ที่มีโรคตับเรื้อรัง
- ผู้เดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรคตับอักเสบเอ
- พนักงานบริการทางเพศ หรือผู้ที่มีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยง
การให้วัคซีน
- ฉีด 2 เข็ม ห่างกันประมาณ 6 เดือน
- มักฉีดร่วมกับวัคซีนตับอักเสบบีในรูปแบบวัคซีนรวม (Twinrix)
ใครบ้างที่ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์?
- เด็ก และวัยรุ่นก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ (โดยเฉพาะ HPV)
- ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM)
- ผู้มีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- ผู้ที่มีพฤติกรรมใช้เข็มร่วมกัน เช่น ผู้ใช้ยาเสพติด
- ผู้ที่ทำงานในสถานพยาบาล หรือเป็นพนักงานบริการทางเพศ
- ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ควรได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนเพิ่มเติม
วัคซีนไม่ใช่คำตอบเดียว แต่คือเครื่องมือสำคัญในการป้องกัน
แม้วัคซีนจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดโรคบางชนิดได้ แต่ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งหมด เช่น หนองใน ซิฟิลิส หรือเริมอวัยวะเพศ จึงควร
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- ตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ
- พูดคุยกับคู่นอนอย่างเปิดใจเกี่ยวกับประวัติการตรวจ
- หากมีพฤติกรรมเสี่ยง ควรพิจารณาการใช้ PrEP หรือ PEP เพิ่มเติม
ฉีดวัคซีนได้ที่ไหนในประเทศไทย?
คุณสามารถรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ที่
- โรงพยาบาลของรัฐ และเอกชนทั่วประเทศ
- คลินิกเฉพาะทางด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- คลินิกสุขภาพ LGBTQ+ ที่มีบริการวัคซีนสำหรับกลุ่มเฉพาะ เช่น Hugsa Clinic, Love2Test คลินิกเครือข่าย
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในวัยรุ่น รู้เท่าทัน ป้องกันได้
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ตรวจเร็ว รู้ก่อน รักษาได้
ในยุคที่พฤติกรรมทางเพศเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การมีภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีน เป็นเสมือนเกราะป้องกันที่ปลอดภัย ไม่ใช่แค่ต่อตนเอง แต่ยังช่วยลดการแพร่กระจายสู่ผู้อื่นด้วย หากคุณยังไม่เคยตรวจสอบสถานะวัคซีนของตนเอง อย่ารอช้า ลองปรึกษาแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้านวันนี้
เอกสารอ้างอิง
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HPV Vaccination: What Everyone Should Know. ข้อมูลวัคซีน HPV และแนวทางการป้องกันไวรัสที่ก่อให้เกิดมะเร็ง. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/vaccines/vpd/hpv/public/index.html
- World Health Organization (WHO). Sexually transmitted infections (STIs): Key facts. ข้อมูลโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการป้องกัน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/sexually-transmitted-infections-(stis)
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. คำแนะนำวัคซีนสำหรับประชาชนไทย (ปรับปรุงปี 2565). ข้อมูลแนวทางการฉีดวัคซีนพื้นฐานและวัคซีนสำหรับกลุ่มเสี่ยง. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/uploads/publish/1251620220803041824.pdf
- องค์การอาหารและยา (อย.). รู้จักวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งจากไวรัส. ข้อมูลวัคซีน HPV สำหรับประชาชนทั่วไป. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.fda.moph.go.th/sites/oss/HPV_Vaccine_Info.pdf
- UNAIDS. Combating hepatitis B and C to reach elimination by 2030. แนวทางระดับโลกในการขจัดไวรัสตับอักเสบ B และ C ภายในปี 2030. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.unaids.org/en/resources/presscentre/featurestories/2022/july/20220728_hepatitis-b-c-elimination