เมื่อแม่ติดเชื้อ ลูกก็เสี่ยง ป้องกันการถ่ายทอดเอชไอวีจากแม่สู่ลูกอย่างไร?

แม้ว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์จะก้าวหน้า และมียาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูง แต่การติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกยังคงเป็นประเด็นสำคัญในสาธารณสุขของประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราการติดเชื้อเอชไอวีในประชากรบางกลุ่มเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก และวิธีป้องกันอย่างถูกต้อง คือ กุญแจสำคัญที่สามารถช่วยชีวิตเด็กได้ในอนาคต

เมื่อแม่ติดเชื้อ ลูกก็เสี่ยง ป้องกันการถ่ายทอดเอชไอวีจากแม่สู่ลูกอย่างไร?

Quicky

การติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกเกิดขึ้นได้อย่างไร?

Table of Contents

การติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก หรือที่เรียกกันว่า การถ่ายทอดเชื้อแนวตั้ง (Vertical Transmission) เป็นหนึ่งในเส้นทางสำคัญของการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะในประเทศที่ยังมีอัตราการติดเชื้อในประชากรกลุ่มเสี่ยงสูงอยู่ การถ่ายทอดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาต่าง ๆ ที่แม่ และทารกมีการเชื่อมโยงทางชีวภาพหรือมีการสัมผัสสารคัดหลั่งร่วมกัน

ระหว่างตั้งครรภ์ (Intrauterine Transmission)

ในระยะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสที่สาม เชื้อเอชไอวีสามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายทารกในครรภ์ผ่านทางรกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากแม่มีระดับไวรัสในเลือด (Viral Load) สูง หรือมีภาวะอักเสบของรก เช่น chorioamnionitis การติดเชื้อในระยะนี้อาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่ทำให้ทารกคลอดออกมาพร้อมการติดเชื้อที่ฝังอยู่ในระบบภูมิคุ้มกันแล้ว

Love2test

ระหว่างคลอด (Intrapartum Transmission)

การคลอด โดยเฉพาะการคลอดทางช่องคลอด เป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากทารกต้องผ่านช่องคลอดซึ่งอาจมีเลือดหรือสารคัดหลั่งปะปนด้วยเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะถ้าแม่ยังมี Viral Load สูงหรือไม่ได้รับยาต้านไวรัสอย่างเพียงพอก่อนคลอด ทารกจึงมีโอกาสสัมผัสเชื้อในระหว่างกระบวนการคลอด การผ่าคลอดจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมระดับไวรัสได้

ระหว่างให้นมบุตร (Postpartum Transmission via Breastfeeding)

หลังคลอด หากแม่ที่ติดเชื้อยังคงให้นมบุตร โดยเฉพาะโดยไม่มีการรักษาด้วยยาต้านไวรัส โอกาสที่เชื้อเอชไอวีจะแพร่สู่ลูกผ่านทางน้ำนมก็มีสูง เนื่องจากเชื้อเอชไอวีสามารถอยู่ในสารคัดหลั่งได้หลายชนิด รวมถึงน้ำนมแม่ การให้นมผสม (formula milk) หรือการใช้ทางเลือกอื่นจึงเป็นคำแนะนำที่แพทย์ใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อในช่วงหลังคลอด

“ChatLove2test"

ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสถ่ายทอดเชื้อสู่ลูก

แม้การติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกจะสามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคปัจจุบัน แต่ก็ยังมีปัจจัยหลายประการที่อาจเพิ่มความเสี่ยงให้ทารกติดเชื้อจากแม่ได้โดยไม่ตั้งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่แม่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือไม่ได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างเหมาะสมระหว่างตั้งครรภ์ คลอด และหลังคลอด ปัจจัยที่ควรระวัง ได้แก่:

ระดับ Viral Load ของแม่สูงมาก

Viral Load หรือปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือด เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการพิจารณาความเสี่ยงของการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก หากแม่มี Viral Load สูง (โดยเฉพาะมากกว่า 1,000 copies/ml) โอกาสในการแพร่เชื้อไปยังทารกก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

“PrEPLove2test"

การควบคุม Viral Load ให้ต่ำจนตรวจไม่พบ (Undetectable) ด้วยยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพสามารถลดความเสี่ยงการถ่ายทอดเชื้อได้อย่างมาก ดังนั้น การเริ่มต้นใช้ยาต้านไวรัสตั้งแต่ก่อนคลอดจึงเป็นมาตรการสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

ไม่ได้รับยาต้านไวรัสระหว่างตั้งครรภ์

การที่แม่ไม่ได้รับ ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy – ART) ระหว่างตั้งครรภ์ หรือเริ่มใช้ยาเมื่อเข้าสู่ระยะท้ายของการตั้งครรภ์ อาจไม่เพียงพอที่จะควบคุม Viral Load ให้ลดลงก่อนคลอด ซึ่งส่งผลให้ทารกมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการติดเชื้อขณะอยู่ในครรภ์หรือขณะคลอด

แนวทางการรักษาปัจจุบันแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวีเริ่มรับ ART โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ระดับไวรัสในเลือดลดลงอย่างมีประสิทธิภาพก่อนถึงกำหนดคลอด

การติดเชื้อแทรกซ้อน หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น

หากหญิงตั้งครรภ์มี การติดเชื้อแทรกซ้อน เช่น ซิฟิลิส หนองใน หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ขณะตั้งครรภ์ ความเสี่ยงที่เชื้อเอชไอวีจะแพร่สู่ลูกก็จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากการติดเชื้ออื่นสามารถกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และเพิ่มโอกาสให้เชื้อเอชไอวีเข้าสู่ทารกได้ง่ายขึ้น

การตรวจคัดกรองโรคติดต่อเพิ่มเติม และรักษาให้ทันเวลา เป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการลดความเสี่ยงการติดเชื้อแนวตั้ง

คลอดทางช่องคลอดโดยไม่มีการดูแลที่เหมาะสม

การคลอดทางช่องคลอด (vaginal delivery) ถือเป็นช่วงวิกฤตที่ทารกอาจสัมผัสกับเลือด และสารคัดหลั่งที่มีเชื้อเอชไอวีโดยตรง หากไม่มีการวางแผนการคลอดอย่างปลอดภัย เช่น

  • ไม่มีการใช้ยาให้ทันตามแนวทาง
  • ไม่มีทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์
  • ไม่สามารถผ่าคลอดได้หากจำเป็น

ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงให้ทารกติดเชื้อได้ การเลือกวิธีคลอดควรพิจารณาร่วมกับแพทย์อย่างรอบคอบโดยเฉพาะในกรณีที่แม่ยังมี Viral Load สูง

ให้นมลูกโดยไม่ใช้นมผสม (สำหรับแม่ที่ติดเชื้อ)

แม้ว่านมแม่จะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่สำหรับแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวี และ ไม่ได้รับ ART อย่างต่อเนื่อง การให้นมบุตรอาจเพิ่มโอกาสการแพร่เชื้อไปสู่ลูก เนื่องจากเชื้อเอชไอวีสามารถพบได้ในน้ำนม

แนวทางขององค์การอนามัยโลกแนะนำว่า หากสามารถจัดหานมผสมที่ปลอดภัย มีความสะอาด และเข้าถึงได้อย่างต่อเนื่อง ก็ควรหลีกเลี่ยงการให้นมแม่ แต่หากแม่ยังคงเลือกให้นมบุตร ควรได้รับ ART อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงให้นม เพื่อลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด

ยาต้านไวรัส (ARV) คือ เกราะสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี

ยาต้านไวรัส (ARV) คือ เกราะสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี

เมื่อพูดถึงการป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก ยาต้านไวรัส (Antiretroviral drugs: ARV) ถือเป็นกุญแจสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเริ่มใช้ยาอย่างถูกต้อง และต่อเนื่องตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ หรือแม้แต่ก่อนการตั้งครรภ์ ก็สามารถลดโอกาสที่ทารกจะติดเชื้อเอชไอวีได้จนเหลือน้อยกว่า 1%

การเริ่มต้นยาต้านไวรัสทันทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์

หนึ่งในคำแนะนำหลักจากองค์การอนามัยโลก (WHO) คือ หญิงตั้งครรภ์ที่ทราบว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวี ควรเริ่มต้นรับประทานยาต้านไวรัสโดยเร็วที่สุด เพื่อควบคุมระดับไวรัสในร่างกายให้ต่ำที่สุดภายในเวลาสั้นที่สุด

แม้ในบางกรณีผู้หญิงจะทราบสถานะเอชไอวีของตนอยู่แล้วก่อนตั้งครรภ์ การวางแผนตั้งครรภ์พร้อมกับการติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอก็สามารถช่วยให้ระดับ Viral Load ต่ำลงจนไม่สามารถตรวจพบได้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์

ยาต้านไวรัสช่วยอย่างไร?

การใช้ยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องมีบทบาทสำคัญหลายประการ ดังนี้

  • ลดระดับ Viral Load ของแม่ให้อยู่ในระดับ Undetectable เป้าหมายสำคัญของการใช้ยา ARV คือการลดปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดให้ ต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ (Undetectable Viral Load) เมื่อถึงจุดนี้ โอกาสที่แม่จะแพร่เชื้อให้ลูกในระหว่างตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นม ก็จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • ลดโอกาสการถ่ายทอดเชื้อลงเหลือไม่ถึง 1% งานวิจัย และแนวทางของ WHO ระบุว่า หากแม่ได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับมาตรการอื่น ๆ เช่น การผ่าคลอดในกรณีจำเป็น และการให้นมผสมแทนนมแม่ ความเสี่ยงของการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกสามารถลดลงจากระดับ 15–45% เหลือเพียง น้อยกว่า 1%
  • เพิ่มโอกาสให้ลูกเกิดมาปลอดเชื้อ และแข็งแรง การรักษาที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในทารกเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมของแม่ เช่น ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ ป้องกันโรคแทรกซ้อนทางระบบภูมิคุ้มกัน และส่งผลให้แม่มีสุขภาพแข็งแรงพอที่จะดูแลทารกหลังคลอดได้อย่างเต็มที่

ยาต้านไวรัสในเด็กทารก

นอกจากการให้ยากับแม่แล้ว เด็กทารกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวี ก็มักได้รับยาต้านไวรัสในช่วงหลังคลอดระยะสั้น เพื่อเป็นการป้องกันเสริมอีกชั้นหนึ่ง โดยปริมาณ และระยะเวลาการให้ยาจะขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงของการได้รับเชื้อระหว่างคลอด ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วางแผนอย่างเหมาะสมในแต่ละราย

แนวทางการฝากครรภ์ และดูแลแม่ติดเชื้อในไทย

ในประเทศไทย มีระบบสาธารณสุขที่ให้ความสำคัญอย่างมากต่อการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวี โดยมีแนวทาง และมาตรการทางการแพทย์ที่ครอบคลุม ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ ไปจนถึงหลังคลอด เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อถูกถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก และเพื่อให้ทั้งแม่ และลูกมีสุขภาพดีในระยะยาว

ขั้นตอนสำคัญในการดูแลแม่ติดเชื้อเอชไอวี

  • ตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีในช่วงฝากครรภ์ครั้งแรก เมื่อหญิงตั้งครรภ์เข้ารับการฝากครรภ์ครั้งแรก (มักเป็นช่วงอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์) หน่วยบริการสุขภาพจะทำการ ตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวี ร่วมกับการตรวจเลือดอื่น ๆ เพื่อประเมินสุขภาพโดยรวมของแม่ และความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์
  • หากพบว่าติดเชื้อ ให้เริ่มยาทันที หากผลการตรวจพบว่าแม่ติดเชื้อเอชไอวี ทีมแพทย์จะให้ เริ่มต้นยาต้านไวรัส (ARV) ทันทีโดยไม่ต้องรอ เพราะยิ่งเริ่มเร็ว โอกาสลดการถ่ายทอดเชื้อสู่ลูกยิ่งสูงขึ้น นอกจากนี้จะมีการให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพจิต และสิทธิในการรักษาอย่างครบถ้วน
  • มีการตรวจ Viral Load เป็นระยะ แม่จะต้องได้รับการ ตรวจวัดระดับ Viral Load อย่างสม่ำเสมอ ตลอดช่วงตั้งครรภ์ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของยาต้านไวรัส หาก Viral Load ควบคุมได้ในระดับต่ำหรือ “ตรวจไม่พบ” (Undetectable) ความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อจะลดลงอย่างมาก
  • ประเมินวิธีคลอดที่เหมาะสม หากระดับ Viral Load ของแม่ยังคงสูงในช่วงใกล้คลอด หรือยังไม่สามารถควบคุมได้ในระดับที่ปลอดภัย แพทย์จะพิจารณาให้ ผ่าคลอดทางหน้าท้อง แทนการคลอดตามธรรมชาติ เพื่อลดโอกาสที่ทารกจะสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งระหว่างคลอด ซึ่งอาจมีเชื้อไวรัส
  • งดให้นมบุตร และเปลี่ยนเป็นนมผสม ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขแนะนำว่า แม่ที่ติดเชื้อเอชไอวีควรงดให้นมบุตร และเปลี่ยนไปใช้นมผสม เนื่องจากเชื้อสามารถถ่ายทอดผ่านทางน้ำนมได้ โดยรัฐมีโครงการสนับสนุนนมผสมสำหรับทารกในกลุ่มนี้เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว

สิทธิที่แม่ติดเชื้อสามารถเข้าถึงได้

สิ่งที่น่ายินดีคือ ในประเทศไทย แม่ที่ติดเชื้อเอชไอวีสามารถเข้ารับบริการฝากครรภ์ และการรักษาฟรี ภายใต้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สิทธิบัตรทอง) หรือระบบประกันสุขภาพอื่น ๆ ที่ครอบคลุม เช่น ประกันสังคม และข้าราชการ

สิ่งที่สามารถเข้ารับบริการฟรี ได้แก่

  • ค่าตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่ออื่น ๆ
  • ยาต้านไวรัสระหว่างตั้งครรภ์
  • ค่าฝากครรภ์ และการคลอด
  • การดูแลทารกหลังคลอด รวมถึงวัคซีน และนมผสม

การเข้ารับการฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอ และการปฏิบัติตามแนวทางของแพทย์อย่างเคร่งครัด คือหัวใจของการป้องกันการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก หากมีการดูแลอย่างเหมาะสม แม่ที่ติดเชื้อก็สามารถให้กำเนิดลูกที่ปลอดภัย ปราศจากเชื้อเอชไอวีได้อย่างสมบูรณ์

การคลอด และการดูแลทารกหลังคลอด

การคลอด และการดูแลทารกหลังคลอด

การคลอดของแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวี และการดูแลทารกหลังคลอด เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะกำหนดว่าทารกจะได้รับเชื้อหรือไม่ แม้ว่าแม่จะได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง แต่หากไม่มีการจัดการในช่วงคลอด และหลังคลอดอย่างเหมาะสม ความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อยังคงมีอยู่ ดังนั้น แพทย์จะใช้แนวทางที่เข้มงวด และมีขั้นตอนชัดเจนในการดูแลทั้งแม่ และลูก

การคลอดที่ปลอดภัย

การเลือกวิธีคลอดจะขึ้นอยู่กับระดับ Viral Load ของแม่ในช่วงใกล้คลอดเป็นหลัก

  • หากแม่มีระดับ Viral Load ต่ำมาก หรืออยู่ในระดับ Undetectable จากการกินยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ แพทย์อาจพิจารณาให้คลอดตามธรรมชาติผ่านทางช่องคลอดได้ เพราะโอกาสการถ่ายทอดเชื้อต่ำมาก
  • หากแม่ยังมี Viral Load สูง หรือไม่มีการควบคุมระดับไวรัสได้อย่างเพียงพอ แพทย์จะ แนะนำให้ผ่าคลอด เพื่อลดความเสี่ยงที่ทารกจะสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งระหว่างการคลอด

การตัดสินใจจะทำร่วมกับทีมแพทย์ และแม่ เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน และเลือกแนวทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับทั้งแม่ และลูก

การดูแลทารกหลังคลอด

การดูแลทารกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวี ต้องมีความระมัดระวัง และเป็นระบบ มีเป้าหมายสำคัญคือ ลดโอกาสที่เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายของทารกหลังคลอด ผ่านวิธีการต่าง ๆ ดังนี้

  • ให้ยาต้านไวรัสแก่ทารกทันที ทารกต้องได้รับยาต้านไวรัส (เช่น Nevirapine หรือ Zidovudine) ภายใน 6–12 ชั่วโมงหลังคลอด เพื่อลดโอกาสที่เชื้อซึ่งอาจเข้าสู่ร่างกายจะสามารถแบ่งตัวและตั้งรกรากได้ ยานี้จะต้องให้ต่อเนื่องตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนด (เช่น 4–6 สัปดาห์)
  • ตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อในทารกตามระยะ การติดตามผลเลือดของทารกจะมีการตรวจในช่วงเวลา 1 เดือน, 2 เดือน, 4 เดือน และอีกครั้งในช่วง 18 เดือน (เมื่อระบบภูมิคุ้มกันเริ่มพัฒนา) เพื่อประเมินว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ โดยจะใช้วิธี PCR ตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี ซึ่งให้ผลแม่นยำแม้ในทารกที่ยังมีภูมิคุ้มกันจากแม่
  • หลีกเลี่ยงการให้นมแม่ — ใช้นมผสมเท่านั้น เนื่องจากเชื้อเอชไอวีสามารถถ่ายทอดผ่านทางน้ำนมได้ แนะนำให้ ใช้นมผสมเป็นหลัก โดยไม่ให้นมแม่แม้เพียงครั้งเดียว เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ทารกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อในประเทศไทยสามารถ รับสิทธิ์นมผสมฟรีจากภาครัฐ ตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย และสนับสนุนสุขภาพของเด็กอย่างเหมาะสม

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม

การป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกเป็นสิ่งที่ ทำได้จริง หากเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์หรือตั้งแต่แรกเริ่มรู้ว่าตั้งครรภ์ ปัจจุบันประเทศไทยมีระบบดูแลที่ครอบคลุม และเข้าถึงได้ฟรีในหลายสิทธิ์ เพียงแค่แม่เข้ารับการดูแล ฝากครรภ์ตามกำหนด และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ก็สามารถให้ลูกเกิดมาปลอดเชื้อเอชไอวีได้อย่างปลอดภัย

เอกสารอ้างอิง

  • World Health Organization (WHO). Mother-to-child transmission of HIV. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hiv-aids
  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV and Pregnancy. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/hiv/group/gender/pregnantwomen
  • UNAIDS. Global AIDS Update 2023. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวี. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th
  • มูลนิธิเข้าถึงเอดส์. ข้อมูลการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.aidsaccessfoundation.or.th

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save