โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจพัฒนาเข้าสู่ระยะลุกลาม หรือระยะที่สาม (tertiary syphilis) ซึ่งเป็นช่วงที่เชื้อ Treponema pallidum สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย หนึ่งในภาวะที่พบได้ คือ การเกิด Gummas หรือตุ่มกัมม่า ซึ่งเป็นเนื้องอกอักเสบเรื้อรังที่สามารถเกิดขึ้นในอวัยวะหลากหลายชนิด

Gummas คืออะไร?
Gummas คือ เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของเนื้อเยื่อในร่างกาย ซึ่งเกิดขึ้นเป็นผลจากการติดเชื้อซิฟิลิสระยะที่สาม (Late/Tertiary Syphilis) โดยเป็นกลุ่มก้อนของเซลล์อักเสบที่พยายามจะจำกัดเชื้อ Treponema pallidum ไม่ให้แพร่กระจาย แต่กระบวนการนี้เองกลับทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในระบบอวัยวะต่าง ๆ
Gummas เกิดขึ้นได้ที่ไหนบ้าง?
Gummas สามารถพบได้ในหลายอวัยวะทั่วร่างกาย โดยแต่ละตำแหน่งมีลักษณะการแสดงออก และผลกระทบที่แตกต่างกัน ดังนี้
- ผิวหนัง และเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง
- ลักษณะ: มักเป็นตุ่มนูนใต้ผิวหนัง ก้อนแข็ง หรือแผลเรื้อรังที่ไม่หายง่าย
- ขนาด: ตั้งแต่ไม่กี่มิลลิเมตรจนถึงหลายเซนติเมตร
- อาการ: อาจกดเจ็บ หรือไม่เจ็บเลย ผิวหนังบริเวณนั้นอาจกลายเป็นแผลเปิด มีหนอง หรือน้ำเหลือง
- ความรุนแรง: แม้ไม่แพร่เชื้อโดยตรง แต่สะท้อนถึงการติดเชื้อเรื้อรังภายในร่างกาย
- กระดูก
- ลักษณะ: กระดูกบางลง หรือมีการกัดกร่อนของเนื้อกระดูก ทำให้เสียรูปทรง
- อาการ: ปวดเรื้อรัง บวมเฉพาะที่ อาจมีเสียงกรอบแกรบ หรือหักง่ายกว่าปกติ
- ผลกระทบ: ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว และโครงสร้างของร่างกาย เช่น กระดูกหน้า กระดูกขา หรือกระดูกสันหลัง
- ตับ
- ลักษณะ: มี Gummas ฝังอยู่ภายในเนื้อตับ ทำให้เกิดตับโต หรือตับแข็งบางส่วน
- อาการ: ปวดแน่นบริเวณชายโครงขวา อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
- ผลกระทบ: ทำให้การทำงานของตับลดลง เสี่ยงต่อภาวะตับวาย
- สมอง และไขสันหลัง (ระบบประสาทกลาง)
- ลักษณะ: Gummas ในระบบประสาทสามารถเกิดในเยื่อหุ้มสมอง หรือภายในเนื้อสมอง
- อาการ: ปวดศีรษะเรื้อรัง อาการชัก แขนขาอ่อนแรง พฤติกรรมเปลี่ยน ความจำเสื่อม
- ความเสี่ยง: หากไม่ได้รับการวินิจฉัย และรักษา อาจทำให้พิการ หรือเสียชีวิต
ลักษณะของ Gummas
- ลักษณะทั่วไป: ก้อนนุ่ม หรือแข็ง กดเจ็บ หรือไม่เจ็บ ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง และระยะเวลา
- ขนาด: ตั้งแต่เล็กมากไปจนถึงหลายเซนติเมตร
- การเปิดของแผล: หาก Gummas อยู่ที่ผิวหนัง เมื่อแตกออกจะกลายเป็นแผลเรื้อรังที่มีน้ำเหลือง หรือตกสะเก็ด
- การติดต่อ: โดยทั่วไปไม่แพร่เชื้อโดยตรง แต่บ่งบอกถึงการติดเชื้อเรื้อรังระยะลุกลาม
โรคซิฟิลิสระยะสาม กับความสัมพันธ์ของ Gummas
โรคซิฟิลิสระยะสาม (Tertiary Syphilis) มักเกิดขึ้นหลังจากติดเชื้อมาแล้ว 10–30 ปี โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างครบถ้วน ในระยะนี้ เชื้อซิฟิลิสจะกระจายไปยังระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งรวมถึง
- Gummas: สัญญาณคลาสสิกที่พบบ่อยที่สุดในซิฟิลิสระยะสาม
- Neurosyphilis: การลุกลามเข้าสู่ระบบประสาท ส่งผลต่อสมอง และไขสันหลัง
- Cardiovascular Syphilis: การทำลายหลอดเลือดใหญ่ โดยเฉพาะหลอดเลือดแดงเอออร์ตา
Gummas จึงนับเป็นตัวบ่งชี้แรก ๆ ของการเข้าสู่ระยะวิกฤต และจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัย และรักษาอย่างจริงจัง

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิด Gummas
- ไม่ได้รับการรักษาซิฟิลิสตั้งแต่ระยะแรก: เป็นสาเหตุหลักของการเข้าสู่ระยะลุกลาม
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: เช่น ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด
- ไม่ตรวจหาเชื้อเป็นประจำ: โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีพฤติกรรมทางเพศเปลี่ยนคู่บ่อย หรือไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- ได้รับการรักษาไม่ครบตามแพทย์กำหนด: เช่น ลืมรับประทานยาครบคอร์ส หรือหยุดยาเองเมื่ออาการดีขึ้น
อาการที่ควรระวัง หากสงสัยว่าอาจเป็น Gummas
Gummas หรือกัมม่า แม้จะไม่ใช่อาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยซิฟิลิสทุกคน แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มักบ่งบอกถึงการพัฒนาเข้าสู่ ระยะเรื้อรัง และลุกลาม ของโรค ซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังจากได้รับเชื้อมานานหลายปีโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
แม้ว่าในหลายกรณี Gummas จะไม่เจ็บ หรือไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่มีสัญญาณบางอย่างที่ควรจับตา ดังนี้
- ก้อนนูนใต้ผิวหนังที่ค่อย ๆ โตขึ้น
- ลักษณะ: เป็นก้อนกลม นิ่ม หรือแข็ง ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง และระยะเวลา
- บริเวณที่พบได้บ่อย: หน้า แขน ขา ลำตัว หรือแม้แต่บนศีรษะ
- ความเปลี่ยนแปลง: ขนาดของก้อนอาจค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่เจ็บในช่วงแรก ก่อนที่ผิวหนังจะบางลง และกลายเป็นแผล
- แผลเรื้อรังที่ไม่หาย
- ลักษณะ: เริ่มจากตุ่ม หรือตุ่มน้ำขนาดเล็ก กลายเป็นแผลเปิด มีน้ำเหลือง หรือตกสะเก็ด
- การตอบสนองต่อการรักษาทั่วไป: แผลไม่ดีขึ้นด้วยยาฆ่าเชื้อทั่วไป หรือครีมปฏิชีวนะ
- ความเสี่ยง: หากไม่รักษา อาจติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน หรือกลายเป็นแผลเน่าถาวร
- อาการเจ็บกระดูก หรือข้อต่อ โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
- ตำแหน่งที่พบบ่อย: กระดูกแขน ขา กะโหลกศีรษะ หรือกระดูกสันหลัง
- ลักษณะอาการ: ปวดเรื้อรัง หรือเจ็บเฉพาะจุด แม้ไม่มีประวัติบาดเจ็ บหรือกระแทก
- ความรุนแรง: บางกรณีอาจเกิดภาวะกระดูกผุ กร่อน หรือผิดรูป
- ตับโต หรือคลำเจอก้อนในช่องท้อง
- สัญญาณของ Gummas ที่ตับ: ทำให้ตับมีขนาดใหญ่กว่าปกติเมื่อคลำ
- อาการร่วม: แน่นชายโครงขวา อ่อนเพลีย เหลือง หรือเบื่ออาหาร
- ผลกระทบ: การทำงานของตับลดลง เสี่ยงตับแข็ง หรือภาวะตับวาย
- อาการทางระบบประสาท หาก Gummas เกิดในสมอง หรือไขสันหลัง อาการจะเกี่ยวข้องกับระบบประสาท ซึ่งควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ ได้แก่
- พูดไม่ชัด หรือมีปัญหาด้านการสื่อสาร
- เดินเซ กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือสูญเสียการทรงตัว
- ความจำเสื่อม หรือมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงผิดปกติ
- ชัก หรือหมดสติ ในบางรายอาจมีอาการคล้ายโรคลมชัก
การวินิจฉัย Gummas
การวินิจฉัย Gummas ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนของซิฟิลิสระยะที่สาม ไม่สามารถอาศัยเพียงการสังเกตจากภายนอกเท่านั้น แต่ต้องใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการถ่ายภาพทางการแพทย์ร่วมกัน เพื่อให้แน่ใจว่าเป็น Gummas ไม่ใช่ก้อนเนื้อ หรือโรคอื่น เช่น วัณโรคผิวหนัง มะเร็ง หรือโรคเนื้อเน่าเรื้อรัง
- การตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อซิฟิลิส เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่แพทย์ใช้ยืนยันการติดเชื้อ โดยอาศัยการตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเชื้อ Treponema pallidum ได้แก่
- VDRL (Venereal Disease Research Laboratory)
- RPR (Rapid Plasma Reagin) → เป็นการตรวจเชิงคัดกรองเบื้องต้น
- TPHA (Treponema Pallidum Hemagglutination Assay) → เป็นการตรวจยืนยันเชื้อ
หมายเหตุ: หากพบว่าเคยติดเชื้อมาก่อนแต่ไม่เคยรักษา หรือค่าการตรวจสูงผิดปกติ แพทย์จะประเมินร่วมกับอาการแสดงเพื่อวินิจฉัย Gummas
- การตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy) ของก้อน Gummas หากก้อนอยู่บริเวณผิวหนัง หรือสามารถเข้าถึงได้ง่าย แพทย์อาจทำการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อตรวจสอบโครงสร้างเซลล์ และการอักเสบที่บ่งชี้ว่าเป็น Gummas โดยมักพบลักษณะพังผืด และการตายของเนื้อเยื่อแบบเฉพาะเจาะจง
- การตรวจภาพถ่ายรังสี หากสงสัยว่า Gummas เกิดในอวัยวะภายใน เช่น กระดูก สมอง ตับ หรือปอด แพทย์จะใช้การถ่ายภาพทางการแพทย์เพื่อระบุขนาด ตำแหน่ง และผลกระทบต่ออวัยวะนั้น ๆ:
- X-ray: สำหรับดูความผิดปกติของกระดูก
- CT scan: แสดงภาพตัดขวางของก้อนในช่องท้อง หรือทรวงอก
- MRI: ใช้เมื่อต้องวินิจฉัย Gummas ในสมอง หรือไขสันหลัง

การรักษา Gummas
แม้ Gummas จะเป็นภาวะที่รุนแรง แต่สามารถรักษาให้ดีขึ้น หรือยุบลงได้หากได้รับการวินิจฉัย และรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ
- ยาปฏิชีวนะ เป็นยารักษาหลักในการกำจัดเชื้อ Treponema pallidum มีดังนี้
- Penicillin G: ยาหลักที่ใช้ในการรักษาซิฟิลิสระยะสาม รวมถึง Gummas โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือหลอดเลือดในปริมาณที่กำหนดอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ
- Doxycycline หรือ Ceftriaxone: สำหรับผู้ที่แพ้เพนิซิลลิน แพทย์อาจใช้ยาทดแทน โดยต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิด
- การรักษาด้วยยาจะช่วยหยุดการลุกลามของเชื้อ แม้ว่าก้อน Gummas อาจใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะยุบหาย
- การติดตามผลการรักษา ผู้ป่วยควรตรวจเลือดซ้ำทุก 3–6 เดือน ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อประเมินระดับแอนติบอดี หากค่าค่อย ๆ ลดลง แสดงว่าการรักษาได้ผล และก้อน Gummas ควรจะเริ่มยุบ หรือหายไป
การป้องกันไม่ให้เกิด Gummas
การป้องกันดีกว่าการรักษา โดยเฉพาะในกรณีของซิฟิลิสที่หากตรวจพบตั้งแต่ต้น จะไม่พัฒนาไปสู่ระยะสาม
แนวทางป้องกัน มีดังนี้
- ตรวจหาเชื้อซิฟิลิสเป็นประจำ หากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- รักษาซิฟิลิสให้ครบตั้งแต่ระยะแรก ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อหยุดการลุกลามของเชื้อ
- ติดตามผลเลือดหลังการรักษา เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเชื้อเหลืออยู่ในร่างกาย
- ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น นอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงความเครียด
- หากมีอาการผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย ควรพบแพทย์ทันที อย่ารอจนก้อน Gummas โตหรือเกิดแผลเรื้อรัง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Gummas
Q: Gummas ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ หรือไม่?
A: โดยตรงไม่ติดต่อ แต่แสดงว่าผู้ติดเชื้อมีซิฟิลิสเรื้อรัง ซึ่งสามารถแพร่เชื้อได้ผ่านทางเพศสัมพันธ์
Q: Gummas อันตรายถึงชีวิตไหม?
A: หากเกิดในอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หรือหัวใจ และไม่ได้รับการรักษา อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
Q: ต้องผ่าตัดก้อน Gummas หรือไม่?
A: ส่วนใหญ่ไม่จำเป็น หากตอบสนองต่อยารักษา แต่ในบางกรณีแพทย์อาจพิจารณา
Q: ตรวจพบ Gummas แล้วรักษาหายขาดได้ หรือไม่?
A: รักษาได้จนเชื้อหมด และก้อนยุบ แต่เชื้ออาจซ่อนตัว หากไม่ติดตามผล อาจกลับมากำเริบได้อีก
Q: การมี Gummas แสดงว่าติดเชื้อมานานแค่ไหน?
A: มักแสดงว่ามีการติดเชื้อซิฟิลิสมานานหลายปี โดยไม่ได้รับการรักษา
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในวัยรุ่น รู้เท่าทัน ป้องกันได้
- Doxy-PEP นวัตกรรมป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่คุณควรรู้
Gummas เป็นผลข้างเคียงรุนแรงจากการปล่อยให้ซิฟิลิสดำเนินไปโดยไม่รักษา ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการตรวจเชื้ออย่างสม่ำเสมอ และเข้ารับการรักษาให้ครบถ้วนตั้งแต่ระยะต้น การตระหนักรู้ถึงอาการของ Gummas และความสำคัญของการรักษาอย่างทันท่วงที เป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องสุขภาพของตนเอง และคนรอบข้าง
เอกสารอ้างอิง (References)
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Syphilis – CDC Fact Sheet (Detailed). ข้อมูลครอบคลุมเกี่ยวกับการติดเชื้อซิฟิลิสและภาวะแทรกซ้อนระยะท้าย เช่น Gummas [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/std/syphilis/stdfact-syphilis-detailed.htm
- World Health Organization (WHO). WHO guidelines for the treatment of Treponema pallidum (syphilis). แนวทางการรักษาโรคซิฟิลิสตามมาตรฐานสากล [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/publications/i/item/9789241548511
- MedlinePlus. Syphilis – tertiary stage. รายละเอียดของซิฟิลิสระยะสาม รวมถึงลักษณะของ Gummas และการรักษา [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://medlineplus.gov/ency/article/000927.htm
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ – ซิฟิลิส. ให้ความรู้เกี่ยวกับการวินิจฉัย การรักษา และการป้องกัน [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/dvdc/detail.php?type=hot&id=145
- สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย. แนวทางการดูแลรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. รวมแนวทางรักษาซิฟิลิสตามมาตรฐานวิชาชีพ [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.tcid.org/STD_guideline



