โรคซิฟิลิส (Syphilis) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Treponema pallidum โรคนี้สามารถแพร่จากคนสู่คนได้ผ่านการสัมผัสกับแผลที่เกิดจากเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปาก โดยเฉพาะหากไม่มีการใช้ถุงยางอนามัย หรืออุปกรณ์ป้องกันเชื้อโรคอย่างเหมาะสม

ระยะของโรคซิฟิลิส และอาการที่ควรรู้
โรคซิฟิลิสมีทั้งหมด 4 ระยะ ซึ่งแต่ละระยะมีลักษณะอาการที่แตกต่างกัน
ระยะที่ 1: ระยะปฐมภูมิ (Primary Stage)
- ลักษณะอาการ: ผู้ติดเชื้อจะเริ่มมีแผลที่เรียกว่า “แผลริมแข็ง” (chancre) ภายใน 10–90 วัน หลังจากสัมผัสเชื้อ (เฉลี่ยประมาณ 3 สัปดาห์)
- ตำแหน่งแผล: มักเกิดบริเวณที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย เช่น อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือริมฝีปาก ขึ้นอยู่กับวิธีการมีเพศสัมพันธ์
- ลักษณะของแผล: แผลจะมีขอบนูน แข็ง ไม่เจ็บ ไม่มีหนอง และมักมีแผลเพียง 1 แผล
- ข้อควรระวัง: แผลอาจหายไปได้เองภายใน 3–6 สัปดาห์ แม้ไม่ได้รับการรักษา ซึ่งทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าตน “หายดีแล้ว” ทั้งที่เชื้อยังคงอยู่ และเข้าสู่ระยะต่อไป
ระยะที่ 2: ระยะทุติยภูมิ (Secondary Stage)
- ช่วงเวลาแสดงอาการ: หลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนหลังแผลริมแข็งหายแล้ว หากยังไม่ได้รับการรักษา
- ลักษณะอาการเด่น
- ผื่นแดง ขึ้นตามลำตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลักษณะเป็นปื้นราบหรือตุ่มนูน มักไม่คัน
- อาการอื่น ๆ: อ่อนเพลีย ไข้ต่ำ เจ็บคอ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต จุดหรือปื้นขาวในปาก
- condyloma lata: ตุ่มเนื้อชื้นบริเวณอับชื้น เช่น รอบอวัยวะเพศหรือรอบทวารหนัก
- ข้อควรระวัง: อาการอาจหายไปเองอีกครั้ง ทำให้เข้าใจผิดว่า “หายแล้ว” ทั้งที่เชื้อยังคงแฝงตัว
ระยะที่ 3: ระยะแฝง (Latent Stage)
- ลักษณะ: เป็นช่วงที่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย แต่ ไม่แสดงอาการทางคลินิก ใด ๆ
- ระยะเวลา: อาจกินเวลานานหลายปี
- แบ่งออกเป็น:
- ระยะแฝงต้น (Early latent): ภายใน 1 ปีหลังติดเชื้อ
- ระยะแฝงปลาย (Late latent): มากกว่า 1 ปีขึ้นไป
- ข้อควรระวัง: แม้ไม่มีอาการ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ โดยเฉพาะในระยะแฝงต้น และหากไม่รักษาอาจลุกลามเข้าสู่ระยะที่ 3
ระยะที่ 4: ระยะตติยภูมิ (Tertiary Stage)
- ช่วงเวลา: อาจเกิดขึ้นได้ หลายปีหลังการติดเชื้อ หากไม่ได้รับการรักษาเลย
- ความรุนแรง: เป็นระยะที่เชื้อซิฟิลิสก่อให้เกิด ความเสียหายถาวร ต่ออวัยวะสำคัญ
- อาการ และภาวะแทรกซ้อน:
- ระบบประสาท (Neurosyphilis): เยื่อหุ้มสมองอักเสบ อัมพาต ความจำเสื่อม การรับรู้บกพร่อง
- ระบบหัวใจ และหลอดเลือด (Cardiovascular syphilis): ผนังหลอดเลือดโป่งพอง กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หัวใจล้มเหลว
- กัมมา (Gumma): ก้อนเนื้ออักเสบเรื้อรัง ทำลายเนื้อเยื่อผิวหนัง กล้ามเนื้อ กระดูก
- ข้อควรระวัง: ระยะนี้แม้จะรักษาแล้วเชื้อจะหายได้ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับอวัยวะต่าง ๆ ไม่สามารถฟื้นฟูกลับคืนได้ทั้งหมด
พฤติกรรมทางเพศแบบไหนที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดโรคซิฟิลิส?
- มีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ยิ่งมีคู่นอนหลายคน โอกาสติดโรคก็ยิ่งมาก โดยเฉพาะหากไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ขาดการพูดคุยเรื่องสุขภาพทางเพศกับคู่นอน และไม่เคยเข้ารับการตรวจโรคติดต่อ
- ไม่ใช้ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยาง โดยเฉพาะกับคู่นอนที่ไม่ทราบสถานะทางสุขภาพ ถือเป็นความเสี่ยงอันดับต้น ๆ สำหรับการติดเชื้อซิฟิลิส และโรคอื่น ๆ เช่น หนองใน เริม และเอชไอวี
- มีเพศสัมพันธ์ขณะมึนเมาหรือใช้สารกระตุ้น การมีเซ็กส์ในภาวะมึนเมา หรืออยู่ภายใต้อิทธิพลของยาเสพติด เช่นแอลกอฮอล์ กัญชา ยาอี หรือยาบ้า ทำให้ขาดการควบคุมตนเอง ไม่สามารถตัดสินใจหรือป้องกันได้อย่างถูกต้อง
- เข้าร่วมกิจกรรม Chemsex หรือปาร์ตี้ยาเสพติด กลุ่มเสี่ยงเฉพาะ เช่น ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) ที่เข้าร่วมกิจกรรม Chemsex มักมีความเสี่ยงสูง เพราะมีการใช้ยาเสพติดที่กระตุ้นความต้องการทางเพศ และลดการยับยั้งพฤติกรรม ทำให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันแบบต่อเนื่อง
- ขาดความรู้เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หลายคนยังเข้าใจผิดว่าโรคอย่างซิฟิลิสเป็นโรคของคนรุ่นเก่า หรือเป็นโรคที่หายไปแล้ว ทั้งที่ความจริงยังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15–24 ปี
ทำไมวัยรุ่น และเยาวชนถึงไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อซิฟิลิส?
- ขาดการเรียนรู้เพศศึกษาอย่างถูกต้อง: หลายโรงเรียนหรือครอบครัวไม่พูดเรื่องเพศอย่างเปิดเผย ทำให้เยาวชนขาดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการป้องกัน
- เชื่อว่าแค่ไม่มีอาการ แปลว่าไม่เป็นอะไร: โรคซิฟิลิสในระยะแรกมักไม่มีอาการ หรือแผลหายได้เอง ทำให้หลายคนชะล่าใจ
- เขินอาย ไม่กล้าไปตรวจ: วัยรุ่นจำนวนมากไม่กล้ารับการตรวจโรคติดต่อ เพราะกลัวถูกตัดสิน หรืออายแพทย์
- มองว่าเป็นโรคของกลุ่มชายรักชาย: ความเชื่อผิด ๆ นี้ทำให้หลายคนที่ไม่ใช่ MSM มองว่าตนเองไม่มีทางติด ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย
การตรวจโรคซิฟิลิส
การวินิจฉัยซิฟิลิสอย่างแม่นยำเริ่มต้นจาก การตรวจเลือด ซึ่งเป็นมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก และทั่วโลกยอมรับว่าเป็นวิธีที่มีความน่าเชื่อถือสูงที่สุด โดยมี 2 ขั้นตอนหลักในการตรวจ ได้แก่:
- การตรวจคัดกรอง (Screening Test) ใช้เพื่อตรวจหา แอนติบอดี ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเชื้อ Treponema pallidum ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคซิฟิลิส
- ตัวอย่างการตรวจที่ใช้:
- VDRL (Venereal Disease Research Laboratory)
- RPR (Rapid Plasma Reagin)
- แม้ผลบวกจากการตรวจคัดกรองอาจไม่ได้ยืนยันว่าเป็นโรคซิฟิลิสแน่นอน แต่ถือเป็นสัญญาณว่าอาจมีการติดเชื้อ ควรดำเนินการตรวจยืนยันต่อไป
- ตัวอย่างการตรวจที่ใช้:
- การตรวจยืนยัน (Confirmatory Test) ใช้ยืนยันว่าผลบวกจากการตรวจคัดกรองเป็นผลจริง และไม่ใช่ผลบวกปลอมจากโรคอื่น
- ตัวอย่างการตรวจยืนยัน
- TPHA (Treponema Pallidum Hemagglutination Assay)
- FTA-ABS (Fluorescent Treponemal Antibody Absorption Test)
- ผลจากการตรวจทั้งสองแบบนี้จะช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำ และเริ่มการรักษาได้อย่างทันท่วงที
- ตัวอย่างการตรวจยืนยัน

แนวทางการรักษาโรคซิฟิลิส
หากพบว่าติดเชื้อซิฟิลิส การรักษาในระยะเริ่มต้นสามารถให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม โดยมีแนวทางหลักดังนี้
- ยาหลักที่ใช้ในการรักษา
- เพนิซิลลิน (Penicillin G Benzathine) คือ ยาหลักในการรักษาโรคซิฟิลิส โดยจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
- หากผู้ป่วยแพ้เพนิซิลลิน แพทย์อาจใช้ยา Doxycycline หรือ Ceftriaxone เป็นทางเลือกในการรักษา
- การติดตามผลการรักษา
- หลังการรักษา แพทย์จะนัดตรวจเลือดซ้ำทุก 3–6 เดือน เพื่อติดตามว่าระดับแอนติบอดีลดลงหรือไม่ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการรักษาได้ผล
- การไม่มาตรวจติดตามอาจทำให้ไม่ทราบว่าการรักษาได้ผลจริงหรือมีการติดซ้ำ
- คำแนะนำระหว่างการรักษา
- ห้ามมีเพศสัมพันธ์ จนกว่าจะรักษาหายดี เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อซ้ำไปมาระหว่างคู่นอน
- แจ้งคู่นอน ให้เข้ารับการตรวจพร้อมกัน เพื่อควบคุมการระบาด และป้องกันการติดซ้ำในอนาคต
โรคซิฟิลิส ไม่ใช่แค่โรคผิวหนัง แต่อาจรุนแรงถึงชีวิต
การปล่อยให้โรคซิฟิลิสดำเนินต่อไปโดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ดังนี้
- เข้าสู่สมอง และระบบประสาท: อาจเกิด สมองอักเสบ, อัมพาต, สูญเสียความทรงจำ
- หลอดเลือดอักเสบจนหัวใจล้มเหลว: โดยเฉพาะในระยะสุดท้ายของโรค (Tertiary stage)
- โรคซิฟิลิสแต่กำเนิด: หากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อ และไม่ได้รับการรักษา เชื้อสามารถถ่ายทอดไปยังทารก ส่งผลให้เด็กเกิดมาพร้อมความผิดปกติหรือเสียชีวิตได้ลเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อ HIV: ผู้ที่ติดโรคซิฟิลิสมีโอกาสติดเชื้อ HIV ได้สูงขึ้นถึง 2–5 เท่า เนื่องจากแผลซิฟิลิสเปิดทางให้ไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น
วิธีป้องกันโรคซิฟิลิส
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะกับคู่นอนที่ไม่แน่ใจสถานะทางสุขภาพ
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะหากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยง ควรตรวจทุก 3–6 เดือน หรืออย่างน้อยปีละครั้ง ตรวจเร็ว รักษาไว ป้องกันแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
- พูดคุยกับคู่นอนอย่างตรงไปตรงมา เปิดใจเรื่องการตรวจสุขภาพก่อนมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนใหม่ เป็นการป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย
- หลีกเลี่ยงสารเสพติด ลดพฤติกรรมมึนเมาหรือใช้ยาเคมีที่ทำให้ขาดสติในขณะมีเพศสัมพันธ์ เพราะนำไปสู่พฤติกรรมที่เสี่ยงมากขึ้น
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
- เสี่ยงแค่ไหน? Chemsex กับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในวัยรุ่น รู้เท่าทัน ป้องกันได้
โรคซิฟิลิส คือ โรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากรู้เร็ว และรักษาทันเวลา แต่ปัญหาคือหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองติด เพราะไม่มีอาการ หรือเข้าใจผิดว่าตนไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย การใช้ถุงยาง การตรวจสุขภาพ และการให้ความรู้ทางเพศอย่างรอบด้านจะช่วยป้องกันการระบาดของโรคนี้ในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยง หรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศของตนเอง อย่ารอให้มีอาการ — ตรวจวันนี้ รักษาทันที เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณ และคนที่คุณรัก
เอกสารอ้างอิง
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Syphilis – CDC Fact Sheet (Detailed). ข้อมูลครอบคลุมเกี่ยวกับอาการ การติดต่อ การตรวจ และการรักษาโรคซิฟิลิส. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/std/syphilis/stdfact-syphilis-detailed.htm
- World Health Organization (WHO). WHO Guidelines for the treatment of Treponema pallidum (syphilis). แนวทางการรักษาโรคซิฟิลิสระดับสากล. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/publications/i/item/9789241548519
- UNAIDS. Confronting Syphilis: Strategies for Prevention, Diagnosis, and Treatment. ข้อมูลยุทธศาสตร์ระดับโลกในการป้องกันและควบคุมโรคซิฟิลิส. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.unaids.org/en/resources/presscentre/featurestories/2021/march/20210308_syphilis-strategies
- กระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทย. เว็บไซต์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลเกี่ยวกับโรคซิฟิลิส การป้องกัน การวินิจฉัย และแนวทางการรักษาในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/dstd/pagecontent.php?page=syphilis
- สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.). โรคซิฟิลิส: ภัยเงียบทางเพศสัมพันธ์ที่กลับมาอีกครั้ง. บทความให้ความรู้เรื่องโรคซิฟิลิสและผลกระทบในระดับประเทศ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.nationalhealth.or.th/th/node/4314