อาการหูดข้าวสุก เป็นอย่างไร

อาการหูดข้าวสุก จะพบได้ก็ต่อเมื่อคุณได้รับเชื้อไวรัสมอลลัสคัม คอนแทจิโอซั่ม (Molluscum Contagiosum) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดขึ้นบนผิวหนัง สามารถติดต่อในเด็กได้ด้วย และผู้ใหญ่ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โรคนี้จะแสดงอาการเป็นตุ่มนูนสีคล้ำหรือสีขาวอมเหลืองบนผิวหนัง มักจะพบได้บริเวณบริเวณที่มีการสัมผัสกันบ่อย เช่น ในพื้นผิวผิวหน้า ขา และอื่นๆ

อาการหูดข้าวสุก เป็นอย่างไร

อาการหูดข้าวสุก มีอะไรบ้าง?

โรคหูดข้าวสุก มักจะแสดงอาการเป็นตุ่มนูนบนผิวหนัง ซึ่งสามารถอธิบายอาการได้ดังนี้

  • ตุ่มนูนสีคล้ำ หรือสีขาวอมเหลืองบนผิวหนัง
  • ตุ่มมีขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ไม่เท่ากัน
  • ตุ่มมักจะมีกลิ่นเหม็นและรู้สึกคัน
  • อาจมีการติดเชื้อและกระจายต่อไปยังบริเวณอื่นๆของผิวหนัง
  • มักจะพบหูดข้าวสุกบริเวณผิวหน้า ขา ท้อง ลำตัว แขน อวัยวะเพศ ขาหนีบ ข้อพับ

โรคหูดข้าวสุก มักจะไม่เป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต แต่อาจก่อให้เกิดความไม่สบายใจ และความรู้สึกไม่สะดวกสบายกับผู้ป่วย ดังนั้นควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาโรคหูดข้าวสุกให้เร็วที่สุด

อาการหูดข้าวสุก เป็นอาการของกามโรคหรือไม่?

ใช่ โรคหูดข้าวสุก เป็นโรคติดเชื้อที่มีความเกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Disease) โรคนี้มักพบได้บ่อยในผู้ที่มีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม หูดข้าวสุก ยังสามารถติดเชื้อผ่านทางการสัมผัสกันระหว่างบุคคล โดยไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ได้ด้วย ดังนั้น การป้องกันโรคนี้ควรใช้วิธีการป้องกันการแพร่กระจายโรคทางเพศและงดการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน และหากมีอาการหูดข้าวสุก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาโรคให้เร็วที่สุด

ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นโรคหูดข้าวสุก

การติดเชื้อมอลลัสคัม คอนแทจิโอซั่ม มักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ เช่น เด็กและผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ผู้ที่มีประวัติการติดเชื้อโรคติดต่อเชื้อโรคต่างๆ ผู้ที่มีประวัติการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโรคนี้ ผู้ที่มีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค เช่น ผู้ที่มีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย นักกีฬาที่มีการสัมผัสกันในพื้นที่ที่ชุมชน ผู้ที่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน เป็นต้น หูดข้าวสุกเป็นโรคที่พบได้บ่อยมาก ดังนั้นไม่ควรแปลกใจเมื่อเห็นคนที่ติดเชื้อในครอบครัว ถึงแม้ว่าโรคนี้จะไม่จำกัดเฉพาะเด็ก แต่ก็พบได้บ่อยที่สุดในเด็กอายุ 1-10 ปี บุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคนี้รวมถึง:

  • ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีหรือผู้รักษาโรคมะเร็ง มีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะติดเชื้อนี้ อาการหูดข้าวสุก ของพวกเขาอาจดูแตกต่างกัน ใหญ่กว่า และยากต่อการรักษาขึ้น
  • โรคผิวหนังแพ้ง่าย (Atopic Dermatitis) อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อมอลลัสคัมคอนแทจิโอซั่ม เนื่องจากมีแผลบนผิวหนังบ่อยครั้ง ผู้ที่เป็นโรคนี้ยังอาจกระจายโรคไปยังส่วนอื่นของร่างกายได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
  • ผู้ที่อาศัยอยู่ในสภาพอากาศร้อนชื้นและมีการใช้ชีวิตแบบแออัด
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ปลอดภัย คือไม่สวมถุงยางอนามัย
  • ผู้ที่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าขนหนู ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า ชุดชั้นใน เป็นต้น

การรักษา อาการหูดข้าวสุก

การรักษาโรคหูดข้าวสุกจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค โดยส่วนใหญ่การผ่าตัดเอาหูดข้าวสุกออกด้วยอุปกรณ์การแพทย์หรือมีดจะเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาอื่นๆ เช่น การใช้ยาทาที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ แต่จะต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ นอกจากนี้ยังควรระวังการติดเชื้อจากการสัมผัสกับผู้ป่วย โดยควรหลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วย และมีการล้างมืออย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

แต่ส่วนใหญ่แล้วแพทย์ มักจะแนะนำให้เอาหูดข้าวสุกออกไปเลย ดีกว่ารอให้หายไปเอง เพราะมีความเสี่ยงที่จะแพร่กระจายโรคไปยังคู่นอนหรือบุคคลใกล้ชิดได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกาย และมีระบบภูมิคุ้มกันต่ำ หรืออยู่ในช่วงการใช้ยารักษาโรคมะเร็ง จำเป็นต้องรักษาด้วยการเอาหูดข้าวสุกออก เพราะเมื่อร่างกายอ่อนแอจะส่งผลให้อาการหูดข้าวสุก ของโรครุนแรงมากขึ้น และรักษาได้ยากกว่าคนปกติ ซึ่งแบ่งการรักษาออกเป็นดังต่อไปนี้

  • การใช้ยาทาที่มีส่วนผสมของกรดซาลิซิลิก (Salicylic Acid) โพแทสเซียม ไฮดรอกไซด์ (Potassium Hydroxide) ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) หรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) เพื่อช่วยทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ นอกจากนี้ ยังมียาในรูปแบบเจล หรือครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids) เช่น ทาซาโรทีน (Tazarotene) อะดาพาลีน (Adapalene) และเตรติโนอิน (Tretinoin) ที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายยา แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย และลดโอกาสการดื้อยาให้อนาคต
  • การจี้หูดข้าวสุกด้วยความเย็น เป็นการรักษาโรคด้วยการใช้ความเย็นหรือไนโตรเจนเหลว (Liquid Nitrogen) เป็นหลัก เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์และช่วยกำจัดหูดข้าวสุก
  • การรักษาหูดข้าวสุกด้วยการเลเซอร์ แสงเลเซอร์ชนิดที่รักษาความผิดปกติของเส้นเลือดบนผิวหนัง ที่นิยมใช้โดยแพทย์ผิวหนังในการรักษาปัญหาผิวต่างๆ ที่เกิดจากการผลิตมาจากเซลล์ มักจะใช้ควบคู่กับการจี้หูดข้าวสุกด้วยความเย็น เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนังที่ติดเชื้อ
วิธีป้องกัน อาการหูดข้าวสุก

วิธีป้องกัน อาการหูดข้าวสุก

การป้องกันโรคหูดข้าวสุกในผู้ใหญ่สามารถทำได้โดยมีวิธีการดังนี้

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ
  • หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ หากมีผู้ติดเชื้อหูดข้าวสุกนี้ในบ้านเดียวกัน ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ เพื่อลดโอกาสที่จะติดเชื้อได้ ควรรอให้รักษาให้หายดีก่อน
  • ดูแลสุขอนามัยของร่างกายให้ดี เช่น ล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร ไม่ขยี้ตาหรือสัมผัสใบหน้าถ้ายังไม่ได้ล้างมือ อาบน้ำชำระล้างร่างกายเป็นประจำทุกวัน รวมไปถึงก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้งด้วย
  • ดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เสริมระบบภูมิคุ้มกัน โดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ การทานอาหารที่มีประโยชน์ครบห้าหมู่ และการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่
  • หากมีอาการหูดข้าวสุก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาโรคให้เร็วที่สุด

อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ออรัลเซ็กส์ ติดเชื้อ HIV ได้จริงหรือ!?

รักษาซิฟิลิสหายขาดไหม?

โรคหูดข้าวสุก แม้จะหายไปได้เองโดยไม่ได้ทำการรักษาภาย 6-12 เดือน แต่หากปล่อยทิ้งไว้ระยะเวลานานแล้วอาการที่มียังไม่ทุเลาลงก็ทำให้ขั้นตอนการรักษามีความยุ่งยาก บริเวณผิวหนังรอบๆ ที่เกิดหูดข้าวสุกจะมีอาการอักเสบแดง และถลอกจากที่ผู้ป่วยเกาหรือแกะหูดข้าวสุกออกด้วยตัวเอง ซึ่งถือว่ามีความอันตรายมาก เพราะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย หากไปแกะเกาจนมีเลือดหรือหนองไหลออกมาและนำไปสัมผัสบริเวณดวงตาอาจทำให้เยื่อตาอักเสบได้ ทางที่ดี มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับสุขภาพก็ควรไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดจะดีกว่านะครับ