สิทธิสุขภาพทางเพศในไทย ความหวังใหม่ของผู้ติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

สิทธิสุขภาพทางเพศ เป็นประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในประเทศไทย โดยเฉพาะสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ที่มักเผชิญกับอุปสรรคทั้งด้านค่าใช้จ่าย การเข้าถึงบริการ และการถูกตีตรา การมีระบบหลักประกันสุขภาพที่ครอบคลุม และเท่าเทียมจึงเป็นความหวังใหม่ที่ช่วยให้คนไทยทุกกลุ่มได้รับการดูแลที่เหมาะสม

ประเทศไทยมี 3 ระบบหลักในการดูแลประชาชน ได้แก่ บัตรทอง (UCS), ประกันสังคม (SSO) และ สวัสดิการข้าราชการ (CSMBS) แต่ละระบบมีจุดเด่น และกลไกที่แตกต่างกัน การเข้าใจโครงสร้างเหล่านี้จึงมีความสำคัญต่อการวางแผนการรักษา และการเข้าถึงสิทธิของประชาชน

Quicky
สิทธิสุขภาพทางเพศในไทย ความหวังใหม่ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

สิทธิสุขภาพทางเพศกับแนวคิดสิทธิมนุษยชน

สิทธิสุขภาพทางเพศ (sexual health rights) เป็นส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ที่เน้นให้บุคคลสามารถเข้าถึงการรักษา และป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ปราศจากการเลือกปฏิบัติ รวมถึงการได้รับข้อมูล ความรู้ และเครื่องมือในการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม

Love2test

ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาหลายฉบับ เช่น CEDAW และ ICESCR ซึ่งเน้นสิทธิด้านสุขภาพ และการไม่เลือกปฏิบัติ ทำให้การจัดสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพทางเพศต้องสอดคล้องกับหลักการดังกล่าว

บัตรทอง (UCS): เสาหลักของการเข้าถึงบริการสุขภาพ

โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Coverage Scheme – UCS) ครอบคลุมคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ โดยมี สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นผู้ซื้อบริการจากหน่วยบริการสาธารณสุข เป้าหมายคือให้คนไทยเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นโดยไม่ล้มละลายทางการเงิน และกำกับต้นทุนผ่านกลไกจ่ายชดเชยแก่หน่วยบริการตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย และระเบียบของ สปสช

“ChatLove2test"

กฎหมายหลัก (พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545) และแนวนโยบายของ สปสช. ระบุชัดว่า หน่วยบริการห้ามเรียกเก็บเงินเพิ่มจากผู้มีสิทธิบัตรทอง หากเป็นบริการที่อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ โดยโรงพยาบาลต้องเบิกค่าบริการกับ สปสช. โดยตรง หากพบการเรียกเก็บเกิน ผู้ป่วยสามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1330 และ สปสช.มีแนวปฏิบัติเรื่องค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บได้/ไม่ได้ เผยแพร่ต่อสาธารณะ 

บริการฉุกเฉินวิกฤต (UCEP)

“PrEPLove2test"

กรณีฉุกเฉินวิกฤต ผู้ป่วยมีสิทธิรับการรักษา โดยไม่ต้องวางเงินล่วงหน้าใน 72 ชั่วโมงแรก ที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ก่อนส่งต่อไปยังหน่วยบริการตามสิทธิ (นโยบาย UCEP ดำเนินการร่วมโดย สปสช. และหน่วยงานฉุกเฉินของรัฐ) เพื่อความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการฉุกเฉินอย่างแท้จริง 

สิทธิประโยชน์ด้านเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • ตรวจ และรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามสิทธิ บัตรทองครอบคลุมบริการตรวจ และรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในหน่วยบริการตามระบบ รวมถึงหัตถการพื้นฐาน ยาที่จำเป็นตามบัญชียาหลักแห่งชาติ และการติดตามผล ทั้งนี้หน่วยบริการเบิกกับ สปสช. ไม่เรียกผู้รับบริการจ่ายเพิ่ม (ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์)
  • เข้าถึงยาต้านไวรัสเอชไอวี (ARV) และยาราคาแพงในชุดสิทธิ ไทยได้ผนวกการตอบสนองเอชไอวีเข้ากับระบบ UHC มาอย่างต่อเนื่อง โดย รวมยาต้านไวรัสไว้ในชุดสิทธิประโยชน์ของ UCS และขยายความครอบคลุมตามหลักฐานเชิงประจักษ์ ทั้งในมิติการรักษา และป้องกัน (เช่นการบรรจุ PrEP ในเชิงนโยบาย) เพื่อลดการติดเชื้อรายใหม่ และภาระโรคในระยะยาว
  • บริการเฉพาะทาง และกรณีฉุกเฉิน ผู้มีสิทธิบัตรทองสามารถรับบริการเฉพาะทางตามระบบส่งต่อจากหน่วยบริการปฐมภูมิไปยังทุติยภูมิ/ตติยภูมิ และเข้ารับบริการฉุกเฉินตามนโยบาย UCEP โดยไม่วางเงินล่วงหน้าในช่วงเวลาที่กำหนด แล้วจึงดำเนินการส่งต่อ/เบิกชดเชยระหว่างหน่วยงานตามระเบียบที่กำหนด
  • บริการด้านฟื้นฟู และสุขภาพจิต/ให้คำปรึกษา UCS มีการเพิ่มบริการ และปรับปรุงชุดสิทธิประโยชน์อย่างต่อเนื่องตามงบประมาณ และหลักฐานวิชาการ เช่น การเพิ่มบริการเฉพาะบางรายการในแต่ละปีงบประมาณ และส่งเสริมบริการจิตเวช/ให้คำปรึกษาในเครือข่ายบริการ เพื่อคุ้มครองสุขภาพแบบองค์รวมของผู้ป่วยเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • กลไกการจ่ายชดเชย (Payment Mechanisms) แกนหลักของ UCS ใช้ capitation (เหมาจ่ายรายหัว) สำหรับผู้ป่วยนอก และ DRG ภายใต้งบประมาณรวม (global budget) สำหรับผู้ป่วยใน พร้อม แยกจ่าย (unbundled) รายการต้นทุนสูงบางประเภท เพื่อลดแรงจูงใจที่บิดเบือน และคุมค่าใช้จ่ายเชิงระบบ ขณะเดียวกันยังรักษาคุณภาพบริการผ่านอำนาจต่อรองแบบผู้ซื้อรายใหญ่ (strategic purchasing) ของ สปสช

ประกันสังคม (SSO) การคุ้มครองลูกจ้างเอกชน

ประกันสังคม (Social Security Office – SSO) ครอบคลุมแรงงานเอกชนในระบบ ผู้ประกันตนต้อง ลงทะเบียนโรงพยาบาลคู่สัญญา เพื่อใช้สิทธิหลัก ทั้งผู้ป่วยนอก และผู้ป่วยใน โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่มหากอยู่ในขอบเขตสิทธิ และเงื่อนไขของสัญญา (ค่ารักษาเบิกชดเชยจากสำนักงานประกันสังคมให้หน่วยบริการ)

สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • ครอบคลุมการตรวจ และรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ SSO จัดซื้อบริการแบบสัญญาเหมาจ่ายกับโรงพยาบาลเอกชน และรัฐที่เป็นคู่สัญญา โดยรวมบริการตรวจ และรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในชุดบริการพื้นฐาน และเฉพาะทางตามแนวทางของประเทศ และมาตรฐานทางคลินิกของหน่วยบริการนั้น ๆ ผู้ประกันตนจึงสามารถเข้าถึงบริการได้ในจุดที่ลงทะเบียนไว้
  • ยาต้านไวรัส และยาราคาแพงบางรายการภายใต้งบเหมาจ่าย SSO ใช้ระบบเหมาจ่ายรายหัวเป็นหลัก (รวมถึง IP/OP ในหลายช่วงเวลา และรูปแบบ) พร้อมกลไกปรับชดเชยเพิ่มเติมสำหรับบริการบางประเภท ทำให้การเข้าถึงยาต้นทุนสูง ขึ้นกับสัญญา/กลไกเสริม ของปีนั้น ๆ แต่โดยหลักการ ผู้ประกันตนได้รับบริการที่จำเป็นตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์โดยไม่ต้องควักจ่ายเพิ่มเมื่อใช้สิทธิที่คู่สัญญา
  • ไม่ต้องจ่ายเพิ่มหากเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลคู่สัญญา เมื่อเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลคู่สัญญาตามที่ลงทะเบียนไว้ ผู้ประกันตนไม่ต้องจ่ายส่วนเกิน สำหรับบริการที่อยู่ในสิทธิ (หากมีกรณีเกินสิทธิ/นอกชุดสิทธิ อาจมีกระบวนการอนุมัติ/ส่งต่อ/หรือเงื่อนไขเพิ่มเติมตามสัญญา)
  • ครอบคลุมทั้งพื้นฐาน และเฉพาะทางตามระบบส่งต่อ ผู้ประกันตนได้รับบริการตั้งแต่ระดับปฐมภูมิไปจนถึงเฉพาะทางผ่านระบบส่งต่อของโรงพยาบาลคู่สัญญา เพื่อให้การดูแลต่อเนื่อง และบริหารต้นทุนตามแบบเหมาจ่ายรายหัวอย่างมีประสิทธิภาพ
  • โครงสร้างการชำระเงิน SSO ใช้ระบบเหมาจ่ายรายหัว (capitation) เป็นแกนหลัก ในการจ่ายคืนแก่โรงพยาบาลคู่สัญญา ครอบคลุมบริการผู้ป่วยนอก และผู้ป่วยใน (ในหลายช่วงเวลามีการออกแบบรายละเอียดแตกต่างกัน เช่น อัตราเหมาจ่ายรายปี/ต่อหัว/กลไกเสริมสำหรับหัตถการต้นทุนสูง ฯลฯ) งานวิชาการ และบทความเชิงนโยบายระบุถึงการใช้เหมาจ่ายแบบครอบคลุม และการปรับปรุงรายละเอียดมาหลายระยะ เพื่อคุมรายจ่าย และคงคุณภาพบริการ

สวัสดิการข้าราชการ (CSMBS): ความครอบคลุมระดับสูง

สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ (Civil Servant Medical Benefit Scheme – CSMBS) ครอบคลุมข้าราชการ ลูก และคู่สมรส จุดเด่นคือความครอบคลุมสูง โดยรัฐชำระเงินให้หน่วยบริการตามค่าใช้จ่ายจริงในบางมิติ (โดยเฉพาะผู้ป่วยนอก) และใช้ DRG สำหรับผู้ป่วยใน ซึ่งต่างจาก UCS/SSO ที่ใช้เหมาจ่ายรายหัวเป็นแกนหลัก

สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • ครอบคลุมยาราคาแพง และการรักษาที่ซับซ้อน CSMBS มีขอบเขตสิทธิครอบคลุมกว้าง โดยเฉพาะในส่วนผู้ป่วยนอกที่ จ่ายแบบ fee-for-service ทำให้สามารถเข้าถึงยามูลค่าสูง และหัตถการซับซ้อนได้ตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ และแนวทางมาตรฐานที่กำหนด (ขณะที่ผู้ป่วยในจ่ายผ่าน DRG เพื่อลดความเสี่ยงค่าใช้จ่ายพุ่งสูง)
  • ใช้บริการในโรงพยาบาลรัฐ/มหาวิทยาลัยได้ครอบคลุม ผู้มีสิทธิสามารถรับบริการได้อย่างกว้างขวางในเครือข่ายโรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ซึ่งรองรับบริการเฉพาะทางหลายสาขา รวมถึงโรคติดเชื้อ/เอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ตามมาตรฐานการดูแลของประเทศ
  • ครอบคลุมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และยาต้านไวรัส ในกรอบสิทธิของ CSMBS ครอบคลุมบริการตรวจรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีตามแนวทางชาติ โดยยาต้านไวรัส และบริการที่จำเป็นได้รับการชดเชยตามกลไกที่ระบุข้างต้น (OP: FFS, IP: DRG) 
  • โครงสร้างการชำระเงิน จุดต่างสำคัญของ CSMBS คือ ผู้ป่วยนอก: จ่ายแบบ fee-for-service (FFS) ซึ่งมีข้อถกเถียงเชิงนโยบายเรื่องแรงจูงใจใช้ยาราคาแพง และปริมาณบริการ ส่วน ผู้ป่วยใน: จ่ายแบบ DRG (ปรับจากเดิมที่เคย FFS) เพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพระบบโดยรวม เอกสารของ ILO และงานวิจัยเชิงระบบสุขภาพไทยสรุปตรงกันในประเด็นนี้

เคล็ดลับใช้งานสิทธิ

  • รู้สิทธิของตนเอง: ตรวจสอบว่าท่านอยู่ในระบบใด (UCS/SSO/CSMBS) และหน่วยบริการประจำคือที่ไหน
  • กรณีฉุกเฉิน: โทร 1669 และเข้ารับบริการที่ใกล้ที่สุดได้ทันที (UCEP คุ้มครอง 72 ชม.แรก) ก่อนส่งต่อ สิทธิจะถูกเคลียร์ระหว่างหน่วยงาน ไม่ต้องวางเงินล่วงหน้าในช่วงเวลาที่กำหนด
  • กรณีถูกเรียกเก็บเกินสิทธิ (UCS): เก็บหลักฐานและติดต่อ สปสช. 1330 เพื่อร้องเรียน/ตรวจสอบแนวทางรายการที่เรียกเก็บได้-ไม่ได้
  • ผู้ประกันตน SSO: ใช้บริการที่โรงพยาบาลคู่สัญญาที่ลงทะเบียน เพื่อไม่ต้องจ่ายเพิ่ม และตรวจรอบการย้ายโรงพยาบาลประจำตามระเบียบ
  • ติดตามการอัปเดตชุดสิทธิประโยชน์: สปสช.ประกาศเพิ่มสิทธิใหม่ ๆ เป็นระยะ ควรเช็กข่าว/ประกาศประจำปีงบประมาณเพื่อใช้สิทธิได้เต็มที่
การเปรียบเทียบระบบ UCS, SSS และ CSMBS

การเปรียบเทียบระบบ บัตรทอง, ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ

การเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพทางเพศในแต่ละระบบ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่สำคัญ

ระบบสุขภาพกลุ่มเป้าหมายสิทธิประโยชน์เด่นกลไกการชำระเงิน
บัตรทองประชาชนทั่วไป 70%ครอบคลุมรักษาพื้นฐาน ยาราคาแพง ฉุกเฉินสปสช. เบิกจ่ายตรง
ประกันสังคมลูกจ้างเอกชนครอบคลุมเหมาจ่าย รักษาเฉพาะทางในโรงพยาบาลคู่สัญญางบเหมาจ่ายรายหัว
สวัสดิการข้าราชการข้าราชการ และครอบครัวครอบคลุมสูงสุด ยาราคาแพงไม่จำกัดรัฐจ่ายตรงตามจริง

ความท้าทายของผู้ติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในไทย

  • ความเหลื่อมล้ำคุณภาพบริการ ระหว่างเมือง–ชนบท แม้ไทยมี UHC ครอบคลุมทั้งประเทศ แต่คุณภาพ และความพร้อมของบริการยังต่างกันตามพื้นที่ โดยเฉพาะทรัพยากรบุคลากร เครื่องมือเฉพาะทาง ระบบส่งต่อ และระยะทางเดินทางของผู้ป่วยในชนบท ส่งผลให้การเข้าถึงแบบทันเวลา และความต่อเนื่องของการดูแล (continuity of care) ต่ำกว่าเมือง งานวิจัยระดับประเทศชี้ถึงอุปสรรคการเข้าถึงผู้ป่วยนอกในกลุ่มชนบท และตัวกำหนดด้านสังคม (เช่น รายได้ การเดินทาง) ขณะเดียวกันบทวิเคราะห์ UHC ของไทยระบุว่าแม้ความคุ้มครองเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ความไม่เสมอภาคเมือง–ชนบทยังต้องได้รับการจัดสรรทรัพยากรอย่างตั้งใจ (equity-oriented resource allocation). 
  • ความเข้าใจสิทธิของประชาชนยังจำกัด ผู้มีสิทธิหลายคนยังไม่ทราบขอบเขตสิทธิ และขั้นตอนใช้สิทธิ โดยเฉพาะเรื่องห้ามเรียกเก็บเงินเกินสิทธิ (extra billing) ในระบบบัตรทอง และช่องทางร้องเรียนเมื่อถูกเรียกเก็บเกิน สปสช. และภาคประชาชนจึงต้องทำงานเชิงรุก—ตั้งแต่สายด่วน 1330, การสื่อสารเชิงสิทธิ ไปจนถึงการทำงานกับเครือข่ายผู้บริโภคเพื่อป้องกันการเรียกเก็บเกิน และเสริมกลไกรับเรื่องร้องเรียน 24 ชั่วโมงสำหรับสมาชิก UCS เพื่อลดภาระค่าจ่ายเอง (OOP) ที่ไม่จำเป็น
  • การตีตรา และเลือกปฏิบัติ ผลสำรวจ Thailand People Living with HIV Stigma Index 2.0 (เก็บข้อมูลปี 2022–2023) ชี้ว่าผู้มีเชื้อยังเผชิญการตีตราทั้งในชุมชน และสถานพยาบาล โดยพบการถูกดูหมิ่น/เลือกปฏิบัติบางรูปแบบ และยังมีกรณีร้องขอผลตรวจเอชไอวีเพื่อการทำงานหรือการรับบริการอื่น ๆ ซึ่งบั่นทอนการเข้าถึงบริการ, adherence และคุณภาพชีวิต การลดตีตราจึงต้องใช้ทั้งมาตรการนโยบาย, การกำกับดูแลสถานพยาบาล, และการสื่อสารสาธารณะต่อเนื่อง
  • ยาราคาแพงรุ่นใหม่ และความทั่วถึง แม้ไทยมีขีดความสามารถต่อรองสูง (เช่น ประวัติการใช้มาตรา CL/Government Use กับยาเอชไอวีในปี 2006–2007 ที่ทำให้ราคายาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ) แต่ ยารุ่นใหม่ราคาแพง (เช่น สูตรสำรอง/ยารุ่นยาวนาน หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ) ยังท้าทายต่อการบรรจุเข้าชุดสิทธิ และการกระจายสู่บริการปฐมภูมิอย่างทั่วถึง จำเป็นต้องใช้หลักฐานต้นทุน–ประสิทธิผล และกลไกจัดซื้อที่มีอำนาจต่อรองร่วมกัน (strategic purchasing/pooled procurement) เพื่อคงความยั่งยืนทางการเงินของระบบ

ความหวังใหม่ในการพัฒนาเชิงนโยบาย

  • ต่อรองราคา–จัดซื้อเชิงกลยุทธ์ เพื่อนำยารุ่นใหม่เข้าถึงได้ บทเรียนการใช้สิทธิรัฐในการใช้สิทธิบัตร (CL) และแรงกดดันนโยบายด้านความเป็นธรรมในการเข้าถึง ทำให้ไทยพัฒนากลไกจัดซื้อร่วม, ใช้ข้อมูลต้นทุน–ประสิทธิผล, และเจรจาราคากับผู้ผลิตอย่างเป็นระบบมากขึ้น แนวทางนี้ช่วยเปิดทางแก่ยารุ่นใหม่ และนวัตกรรม (รวมถึงการขยาย PrEP/การทดสอบตนเอง) ภายใต้ข้อจำกัดงบประมาณของ UHC
  • ระบบบริการเป็นมิตร กับผู้มีเชื้อ และผู้รับบริการโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นโยบายบริการที่เป็นมิตร (KP-friendly, stigma-free) ถูกผลักดันมากขึ้น ทั้งด้านมาตรฐานบริการ, การฝึกอบรมบุคลากร, และการวางระบบรับเรื่องร้องเรียน/ติดตามผล เพื่อให้ผู้รับบริการกลุ่มเปราะบางเข้าถึงโดยไม่ถูกตีตรา—รายงานของ UNAIDS ระบุความก้าวหน้า และช่องว่างที่ยังต้องแก้ เช่น การลดกีดกันในงาน/การศึกษา และการยุติการร้องขอผลตรวจที่ไม่จำเป็น
  • เพิ่มการตรวจ และเพศศึกษารอบด้าน ด้านอุปสงค์ รัฐ และภาคีขยาย การตรวจเอชไอวี/เอชไอวีด้วยตนเอง และการเข้าถึง PrEP ในจุดบริการหลายร้อยแห่ง พร้อมเดินหน้าเพศศึกษารอบด้าน (CSE)ในสถานศึกษา—แม้ความครอบคลุม และคุณภาพยังแปรผันตามพื้นที่ แต่งานทบทวนหลักสูตรระดับประเทศ และงานวิชาการในไทยล่าสุดสนับสนุนให้เพิ่มคุณภาพการสอน การมีส่วนร่วมของครู–พยาบาลโรงเรียน และการเชื่อมต่อบริการสุขภาพท้องถิ่น
  • เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพข้ามกองทุน (UCS–SSO–CSMBS) การอัปเกรด health information exchange (HIE) และมาตรฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ระบบส่งต่อ/ชดเชย ไร้รอยต่อ เป็นหัวใจของการลดความซ้ำซ้อน และย่นระยะเวลาการดูแล งานวิชาการระบุข้อจำกัดด้านการแบ่งปันข้อมูล และความสอดคล้องของนโยบายที่ยังต้องปรับ โดยเฉพาะข้อมูลผู้ป่วยนอก–ใน, e-referral และมาตรฐานข้อมูล ณ จุดบริการ ซึ่งเมื่อพัฒนาสำเร็จจะช่วยให้ประชาชนใช้สิทธิข้ามระบบได้สะดวกขึ้น และลดภาระเอกสาร

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม

สิทธิสุขภาพทางเพศในประเทศไทยกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีระบบ UCS, SSO และ CSMBS เป็นเสาหลักในการคุ้มครองผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แม้จะยังมีความเหลื่อมล้ำ และความท้าทาย แต่การปรับปรุงเชิงนโยบาย และการให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนจะทำให้อนาคตของสิทธิสุขภาพทางเพศในไทยชัดเจน และมั่นคงยิ่งขึ้น

เอกสารอ้างอิง

  • World Health Organization (WHO). Consolidated guidelines on HIV prevention, testing, treatment, service delivery and monitoring. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/publications/i/item/9789240031593
  • UNAIDS. Thailand Country Data and Progress on Ending AIDS. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.unaids.org/en/regionscountries/countries/thailand
  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). สิทธิประโยชน์และการเข้าถึงการรักษาของผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ในระบบบัตรทอง. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.nhso.go.th
  • สำนักงานประกันสังคม. สิทธิประโยชน์ประกันสังคมด้านการรักษาพยาบาล. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.sso.go.th
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการตรวจรักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ประเทศไทย 2564/2565. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.ddc.moph.go.th

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save