วิธีการสังเกตผื่นที่เกิดจากเชื้อ HIV

ผื่นที่ผิวหนัง เป็นอาการทั่วไปเมื่อเกิดการติดเชื้อไวรัส HIV ขึ้น อาการมักจะเป็นสัญญาณเริ่มแรก และมักจะเกิดขึ้นในช่วง 2 – 3 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างก่าย ซึ่งอาการผื่นอาจไม่ได้เป็นเกิดจากการติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้จากยาที่ใช้รักษาการติดเชื้อไวรัส HIV ได้ด้วย

วิธีการสังเกตผื่นที่เกิดจากเชื้อ HIV

ผื่นที่เกิดจากเชื้อ HIV 

อาจจะเรียกว่า ผื่นเอชไอวี หรือเอดส์เฉียบพลัน  เป็นผื่นเอชไอชวีเฉียบพลันมักจะเกิดขึ้นในช่วงแรกของการติดเชื้อ ผื่นจะปรากฏในส่วนเดียว หรือหลายส่วนของร่างกาย และอาจทำให้เกิดอาการคันที่ผืนด้วย 

วิธีการสังเกตผื่น มีดังนี้

สังเกตดูว่าเป็นผื่นแดง บวมเล็กน้อย และคันมากๆ หรือไม่

ผื่นที่เกิดจากเชื้อ HIV มักจะเป็นจุดด่างดวงบนผิวหนัง ถ้าเป็นคนผิวขาวก็จะเป็นจุดสีแดง แต่ถ้าเป็นคนผิวสีเข้มก็จะเป็นสีดำอมม่วง โดยความรุนแรงของผื่นจะไม่เท่ากันในแต่ละคน บางคนก็อาจจะมีผื่นขึ้นรุนแรงมากเป็นบริเวณกว้าง ในขณะที่บางคนก็อาจจะมีผื่นขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น แต่ถ้าผื่นที่เกิดจากเชื้อ HIV เป็นผลมาจากยาต้านไวรัส ผื่นจะเป็นรอยแผลแดงบวมไปทั่วร่างกาย ผื่นแบบนี้เรียกว่า ผื่นแพ้ยา

สังเกตว่าผื่นขึ้นตรงไหล่ หน้าอก ใบหน้า ท่อนบนของร่างกาย และมือหรือไม่

ผื่นที่เกิดจากเชื้อ HIV มักจะขึ้นในบริเวณเหล่านี้ แต่ก็มักจะหายไปเองภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ทำให้บางคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาการแพ้ หรือผิวหนังอักเสบ ซึ่งผื่นที่เกิดจาก HIV ไม่สามารถติดต่อกันได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความเสี่ยงว่าจะแพร่เชื้อ HIV ผ่านทางผื่นสู่คนอื่นได้

สังเกตอาการอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นตอนที่เป็นผื่น HIV

ผื่นเอชไอวีจะมีอาการเจ็บ และคัน ในช่วงเวลาที่ ผื่นปรากฏและจะมาพร้อมกับอาการอื่น ๆ ซึ่งถือว่าเป็นอาการเริ่มแรกของการติดเชื้อเอชไอวี อาการเหล่านี้

  • คลื่นไส้และอาเจียน
  • แผลในปาก
  • มีไข้ และปวดหัว
  • ท้องเสีย
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • ตะคริวและปวดตามร่างกาย
  • ต่อมน้ำเหลืองโต และบวม
  • สายตาเบลอหรือพร่ามัว
  • ไม่อยากอาหาร
  • ปวดตามข้อ
  • ความเมื่อยล้า
  • อาการเจ็บคอ
  • สูญเสียความกระหาย
  • น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ
ผื่นที่เกิดจากเชื้อ HIV

สาเหตุของผื่นจากเชื้อ HIV

ผื่นเกิดจากการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายลดลง จะเกิดขึ้นในระยะไหนของการติดเชื้อก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว มีผื่นจะเกิดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์หลังจากที่คุณได้รับเชื้อ เป็นระยะที่เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงในตัวอย่างเลือด ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเราสามารถตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีได้จากการตรวจเลือด แต่บางคนก็อาจจะไม่ผ่านขั้นตอนนี้ แต่จะมีผื่นขึ้นหลังจากติดเชื้อไวรัสไปถึงระยะอื่นแล้วก็ได้

และนอกจากนี้ผื่น HIV ยังอาจเป็นอาการแพ้ยาต้านไวรัส HIV ก็ได้ เช่น Amprenavir Abacavir และ Nevirapine อาจก่อให้เกิดผื่น HIV ได้

ในช่วงของการติดเชื้อ HIV ในระยะที่สาม คุณอาจจะมีผื่นขึ้นเนื่องจากผิวหนังอักเสบ ผื่น HIV ชนิดนี้จะเป็นสีชมพูหรือออกแดงๆ และคัน มักจะขึ้นเป็นเวลา 1-3 ปีและมักจะขึ้นตรงขาหนีบ รักแร้ หน้าอก ใบหน้า และหลัง

วิธีการรักษาผื่นที่เกิดจากเชื้อ HIV 

ถ้าคุณมีผื่นขึ้นเล็กน้อย ให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อ HIV

หากยังไม่ได้ตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อ HIV แพทย์ก็อาจจะตรวจเพื่อดูว่าได้รับเชื้อไวรัสหรือเปล่า ถ้าผลเป็นลบ ก็อาจจะหาสาเหตุอื่นต่อไปว่า ผื่นที่เกิดขึ้นจากการปฏิกิริยาแพ้อาหารหรือปัจจัยอื่นๆ หรือไม่ และอาจจะมีปัญหาผิวหนังอักเสบก็ได้

ถ้าผลออกมาเป็นบวก แพทย์อาจจะสั่งยาต้านและรักษาเชื้อเอชไอวี ทำให้มีผื่นขึ้นเล็กน้อย แต่ผื่นจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์

เพื่อให้อาการของผื่นลดลงโดยเฉพาะอาการคัน แพทย์อาจจะสั่งสารต้านฮิสทามีน เช่น Benadryl หรือ Atarax หรือครีมที่มีส่วนประกอบของคอร์ติโคสตีรอยด์ให้เพื่อรักษาอาการคันที่ผื่นได้

เข้ารับการรักษาทันทีหากอาการผื่นรุนแรง

ผื่นบางชนิดอาจจะมีอาการไม่รุนแรง ในขณะที่บางชนิดอาจจะทำให้เกิดการทำลายผิวหนังอย่างรุนแรง และทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้  อาการผื่นขึ้นอย่างรุนแรงยังอาจเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ ของเชื้อไวรัส เช่น มีไข้ คลื่นไส้หรืออาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ และแผลในปากด้วย ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป

ปรึกษาแพทย์หากอาการแย่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรับประทานยา

บางคนอาจจะมีภาวะภูมิไวเกินต่อยาบางตัว ทำให้อาการติดเชื้อ HIV รวมทั้งผื่น HIV แย่ลง แพทย์อาจจะสั่งให้หยุดยา และให้ยาตัวอื่นที่สามารถกินแทนได้ โดยอาการของภาวะภูมิไวเกินมักจะหายไปภายใน 24-48 ชั่วโมง ชนิดของยาต้านไวรัสมี 3 ชนิดหลัก ๆ ที่อาจทำให้เกิดผื่นที่ผิวหนังได้ก็คือ 

  • NNRTIs
  • NRTIs
  • PIs
  • NNRT เช่น nevirapine (Viramune) เป็นยาที่ทำให้เกิดผื่นที่ผิวหนังได้บ่อยที่สุด Abacavir (Ziagen) เป็นยา NRTI ที่อาจทำให้เกิดผื่นที่ผิวหนัง PIs และ amprenavir (Agenerase) กับ tipranavir (Aptivus) ก็อาจทำให้ผื่นขึ้นได้เช่นเดียวกัน

อย่ารับประทานยาที่ก่อให้เกิดอาการแพ้

ถ้าแพทย์แนะนำให้คุณหยุดกินยา เนื่องจากภาวะภูมิไวเกิน หรืออาการแพ้ ก็อย่ากินยานั้นอีก เพราะการกินยาตัวนั้นอีกครั้งเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงกว่าเดิมที่อาจลุกลาม และทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิมมาก

ถามแพทย์เรื่องการติดเชื้อแบคทีเรียที่อาจทำให้เกิดผื่น

ผู้ที่ติดเชื้อ HIV มีโอกาสที่จะติดเชื้อแบคทีเรียมากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากเซลล์ภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ มักเกิดขึ้นได้บ่อยกับผู้ที่ติดเชื้อ HIV ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคพุพอง รูขุมขนที่หนังศีรษะอักเสบ ฝี เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ จุดฝีเล็กๆ และแผลเปื่อย ควรสอบถามแพทย์เพิ่มเติม

รักษาอาการผื่นด้วยตัวเอง

รักษาอาการผื่นด้วยตัวเอง

ใช้ยาทาที่ผื่น

แพทย์อาจจะสั่งยาทาต้านอาการแพ้ หรือยาที่ช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง หรือคัน หรืออาจจะซื้อครีมที่เป็นสารต้านฮิสทามินตามร้านขายยาทั่วไปเพื่อช่วยบรรเทาอาการก็ได้ ทาครีมตามที่ระบุไว้ที่บรรจุภัณฑ์

การใช้ยาขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดผื่น การใช้ครีมไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) หรือ diphenhydramine (Benadryl) นั้นอาจจะช่วยลดอาการคัน และขนาดของผื่นได้ ผื่นที่รุนแรงกว่านั้นอาจจะต้องใช้ยาที่แพทย์สั่งจ่าย

หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงหรืออากาศหนาวเกินไป

ทั้งสองอย่างนี้เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดผื่น HIV และอาจทำให้ผื่นยิ่งแย่ลงได้ เช่น ถ้าออกไปข้างนอก ให้ทาครีมกันแดดทั่วร่างกายเพื่อปกป้องผิวหนังหรือใส่เสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาว หรืออยู่ในที่ที่อากาศหนาวมากๆ ให้ใส่เสื้อโค้ตและเสื้อผ้าอุ่นๆ เวลาออกไปข้างนอกเพื่อไม่ให้ผิวหนังสัมผัสกับความหนาวเย็นมากเกินไป

อาบน้ำเย็น

น้ำร้อนจะทำให้ผื่นระคายเคือง หลีกเลี่ยงการแช่น้ำหรืออาบน้ำฝักบัวด้วยน้ำร้อน แล้วเปลี่ยนไปแช่น้ำเย็นหรือเช็ดตัวเพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองของผิวแทน  โดย อาจจะอาบน้ำฝักบัว หรือแช่อ่างอาบน้ำในน้ำที่ค่อนข้างอุ่นและใช้การเช็ดแทนการถูตัว และทามอยเจอไรเซอร์ธรรมชาติ เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าว หรือว่านหางจระเข้ทันที ที่อาบน้ำเสร็จเพื่อช่วยเยียวยาผิวได้

เปลี่ยนมาใช้สบู่อ่อนๆ หรือสบู่สมุนไพร

สบู่ที่มีสารเคมีอาจทำให้ผิวระคายเคืองและทำให้ผิวแห้งและคัน  ควรหาสบู่อ่อนๆ เช่น สบู่เด็ก หรือสบู่สมุนไพร หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีจำพวกปิโตรเลียม ได้แก่ Methyl- Propyl- Butyl- Ethylparaben และ Propylene Glycol เพราะทั้งหมดนี้เป็นวัตถุดิบสังเคราะห์ที่อาจทำให้ผิวหนังระคายเคืองหรือทำให้เกิดอาการแพ้

ใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายนุ่มๆ

เสื้อผ้าที่ทำจากใยสังเคราะห์ หรือใยผ้าที่ไม่ระบายอากาศอาจทำให้คุณเหงื่อออกและทำให้ผิวยิ่งระคายเคืองกว่าเดิม การใส่เสื้อผ้าที่รัดรูปก็อาจทำให้ เสื้อผ้าถูกับผิว และทำให้ผื่น HIV แย่ลงตามไปด้วย

รับประทานยาต้านไวรัสต่อ

ควรกินยาต้าน HIV ตามที่แพทย์สั่ง เพราะยาจะออกฤทธิ์ได้เต็มประสิทธิภาพ เพราะยาจะช่วยให้ค่า t-cell ดีขึ้น และรักษาอาการอย่างผื่น HIV ได้ หากคุณไม่แพ้ยาต้านไวรัสเหล่านั้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องที่นี่

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

  • วิธีการ สังเกตผื่นที่เกิดจากเชื้อ HIV https://th.wikihow.com/สังเกตผื่นที่เกิดจากเชื้อ-HIV
  • ผื่นเอชไอวีหรือเอดส์เฉียบพลัน https://www.icare-thai.com/article/33/quotquotผื่นเอชไอวีหรือเอดส์เฉียบพลันquotquot