โรคฝีดาษวานรแพร่ระบาดได้ทางการสัมผัสใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการจูบ สัมผัสลูบไล้ และการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก ช่องคลอด หรือทวารหนักกับผู้ติดเชื้อ ใครที่มีผื่นขึ้นใหม่หรือผื่นลักษณะผิดปกติ หรือตุ่มนูนควรเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ จนกว่าจะได้รับการตรวจว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือโรคฝีดาษลิง หากมีผู้ที่มีอาการที่ต้องสงสัยว่าเป็นโรคฝีดาษลิงควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจโรค และรักษาต่อไป

โรคฝีดาษลิง (Monkeypox)
โรคฝีดาษลิง หรือโรคฝีดาษวานร (Monkeypox) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส Orthopoxvirus โดยเชื้อนี้มักจะอยู่ในสัตว์ในตระกูลลิง และฟันแทะ เช่น หนู กระรอก กระต่าย ซึ่งเชื้อไวรัสก่อให้เกิดโรคที่มีอาการคล้ายกับโรคอีสุกอีใส หรือไข้ทรพิษแต่มีความรุนแรงน้อยกว่า โรคนี้สามารถติดต่อได้จากสัตว์สู่คน และติดต่อจากคนสู่คน โดยการสัมผัสสารคัดหลั่ง ผิวหนัง หรือ ละอองฝอยจากการหายใจ แต่การติดเชื้อจากคนสู่คนยังไม่แพร่กระจายเป็นวงกว้างมากนัก
ปัจจุบันมีรายงานการเกิดเชื้อไวรัสฝีดาษลิง 2 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์อัฟริกากลาง (Congo Basin) และสายพันธุ์อัฟริกาตะวันตก (West African) ซึ่งสายพันธุ์อัฟริกากลางเป็นสายพันธุ์ที่มีการรายงานการติดต่อจากคนสู่คน โดยมีความรุนแรงมาก อาจถึงขั้นเสียชีวิต พบอัตราการเสียชีวิต 10%

อาการโรคฝีดาษลิง
อาการของโรคจะแสดงอาการหลังจากได้รับเชื้อแล้วประมาณ 7-21 วัน โดยผู้ป่วยจะมีไข้ อ่อนเพลีย ปวดหัว ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีผื่นตุ่มหนองทั่วตัว เช่น ตัว หน้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และต่อมน้ำเหลืองโตทั่วร่างกาย โดยหลังการได้รับเชื้อแล้ว ไวรัสจะอยู่ในต่อมน้ำเหลืองของผู้ป่วย และใช้เวลาฟักตัว 7-21 วัน จึงจะแสดงอาการ หลังจาก 2-4 สัปดาห์ต่อมา ผื่นจะค่อย ๆ เปลี่ยนรูปแบบ จากผื่นนูนแดงเป็นตุ่มน้ำ แล้วจึงเป็นฝี จากนั้นตุ่มหนองจะแตกและแห้ง ผู้ป่วยก็จะอาการดีขึ้น เพราะถือว่าพ้นจากระยะการแพร่เชื้อ ผื่นของโรคฝีดาษลิงจะกินลึกถึงชั้นผิวหนังด้านใน ทำให้หลังจากผื่นตกสะเก็ดจะทำเกิดรอยโรค หรือรอยแผลเป็นได้
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะหายเองตามธรรมชาติ และจะมีอาการป่วยเป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ นอกเสียจากว่าจะติดเชื้อซ้ำซ้อนที่บริเวณปอด ลามไปสมองจนเกิดการอักเสบขึ้น หรือติดเชื้อที่กระจกตา มีความเสี่ยงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้
การรักษาโรคฝีดาษลิง
ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคฝีดาษลิงเฉพาะ ทำได้เพียงการให้วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษซึ่งผลการรักษาจะมีประสิทธิภาพเพียง 85% รวมทั้งการให้ยาต้านไวรัส ได้แก่ Cidofovir, Tecovirimat และ Brincidofovir จะสามารถลดความรุนแรง และอาจป้องกันการติดเชื้อได้ สำหรับผู้ติดเชื้อที่มีอาการหนัก หากไม่ได้ทำการรักษาโรคฝีดาษลิง ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ ธรรมชาติของโรคจะหายได้เองภายใน 2 – 4 สัปดาห์ ไม่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต
การดูแลผิวหนังเมื่อมีการติดเชื้อฝีดาษลิง
- ห้ามแกะหรือเกาที่ผื่น
- ทำความสะอาดผื่นด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ
- ควรล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์ ก่อน และหลังการสัมผัสผื่น
- รักษาความสะอาดของผิวหนังไม่ให้อับชื้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม
- ไม่ควรปิดผื่นให้มิดชิด แต่ควรเปิดผื่นให้ระบายอากาศได้
- หากผื่นมีอาการปวด บวมแดง หรือเป็นหนอง ควรไปพบแพทย์

การป้องกันโรคฝีดาษลิง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์พาหะ ได้แก่ สัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก และสัตว์ตระกูลไพรเมต เช่น ลิง หากมีการสัมผัสสัตว์ให้รีบล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่ง บาดแผล เลือด น้ำเหลืองของสัตว์ หรือกินเนื้อสัตว์ติดเชื้อที่ปรุงไม่สุก
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่ง แผล ตุ่มหนอง หรือตุ่มน้ำใส เช่น น้ำลาย ละอองฝอย หรือน้ำเหลืองจากผู้ที่สงสัยป่วย หรือมีประวัติเสี่ยง หรือสงสัยว่าติดเชื้อ กรณีที่สัมผัสเชื้อไปแล้ว
- สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง เมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยงการแพร่ระบาด เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อผ่านละอองฝอยขนาดใหญ่
- การฉีดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ มีส่วนช่วยในการป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ประมาณ 85% ในปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ที่มีความจำเพาะต่อโรคฝีดาษลิงมากขึ้น
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
โรคฝีดาษลิงเป็นโรคที่เป็นแล้วสามารถหายได้เอง เนื่องจากเชื้อไวรัสไม่ได้มีความรุนแรงมากนัก ทำให้การรักษาในปัจจุบันของโรคฝีดาษลิง เป็นเพียงแค่การรักษาตามอาการที่เกิดขึ้นเพื่อบรรเทาความรุนแรงของโรค เช่น การลดไข้ ลดอาการไม่สบายตัวจากผื่นหรือตุ่มหนอง และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เท่านั้น