Site icon STI CENTER

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีอะไรบ้าง ?

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีอะไรบ้าง ?

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เริ่มมีแนวโน้มที่ลดลงมากขึ้นในปัจจุบัน ด้วยความรู้และข้อเท็จจริงจากองค์กรต่าง ๆ ที่ออกมาให้ข้อมูลที่ถูกต้อง สามารถเข้าถึงได้ง่ายในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยง หลายคนหันมาให้ความใส่ใจในเรื่องของการป้องกัน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ด้วยการใช้ถุงยางอนามัย ระมัดระวังในการมีเพศสัมพันธ์ ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย แต่ก็ยังพบผู้ที่ติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่เรื่อย ๆ จากพฤติกรรมและทัศนคติที่ผิด ๆ ก่อให้เกิดโอกาสที่จะติดเชื้อเอชไอวีได้ และพัฒนาไปเป็นโรคเอดส์ หากไม่ได้ทำการรักษาหรือตรวจพบโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ ดังนั้น บทความนี้ จึงแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่มีอยู่โดยสังเขป เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักและเรียนรู้แนวทางป้องกันการรับเชื้อกามโรค และลดการแพร่กระจายของโรคลงได้ในที่สุด

สาเหตุของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือ Sexually Transmitted Infections คือโรคที่ติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์เป็นหลัก ผู้เสี่ยงมีพฤติกรรมการใช้ถุงยางอนามัยที่ไม่สม่ำเสมอหรือใช้ไม่ถูกวิธี มีคู่นอนหลายคน มีการดื่มแอลกอฮอล์หรือเสพสารเสพติดก่อนมีเพศสัมพันธ์ หรือ อาจติดต่อด้วยการสัมผัสอย่างใกล้ชิดหรืออื่น ๆ ได้ด้วยเช่นกัน โดยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลัก ๆ ที่ควรทำความรู้จัก มีดังนี้

เอชไอวี

เอชไอวี เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางเลือด ทางเพศสัมพันธ์ และแม่สู่ลูก โดยเชื้อไวรัสเอชไอวีนี้ จะส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลงหากไม่ได้ทำการรักษา จนทำให้ป่วยเป็นโรคฉวยโอกาสต่าง ๆ และเข้าสู่ภาวะโรคเอดส์ได้ ถึงแม้ว่าไวรัสเอชไอวีจะยังไม่สามารถทำการรักษาให้หายขาดหรือหมดไปจากร่างกายได้ แต่การทานยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างเคร่งครัดจะช่วยควบคุมเชื้อให้เราไม่ป่วยและสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป วิธีการที่จะรู้ว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวีได้ คือ การเจาะเลือดตรวจเท่านั้น

ซิฟิลิส

ซิฟิลิส เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย อาการที่สังเกตได้ชัดคือ เกิดผื่นและแผล บริเวณผิวหนัง หลังจากรับเชื้อมาประมาณ 3 สัปดาห์ขึ้นไป แต่ช่วงแรกก็อาจมีอาการได้ เพียงแต่แผลเหล่านั้นไม่มีอาการเจ็บปวดและสามารถหายไปได้เองแม้ไม่ได้รับการรักษา หากปล่อยทิ้งไว้ 1-3 เดือน แผลจะมีลักษณะตุ่มนูนคล้ายหูดขึ้นตามบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า อวัยวะเพศ ขาหนีบ ทวารหนัก หรือแม้แต่ภายในช่องปากก็สามารถติดเชื้อนี้ได้ในผู้ที่ทำออรัลเซ็กส์แล้วไม่ใช้ถุงยางอนามัย การวินิจฉัยโรคสามารถตรวจหาเชื้อได้จากเลือดของผู้ติดเชื้อหรือการเก็บตัวอย่างแผลหรือน้ำเหลืองไปตรวจ โรคซิฟิลิส หากไม่ทำการรักษาจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายได้

หนองในแท้

หนองใน เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ลำคอ ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย จะมีอาการเมื่อได้รับเชื้อมาประมาณ 2 สัปดาห์

หนองในเทียม

หนองในเทียม สามารถติดต่อได้คล้ายโรคหนองในแท้ แต่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียคนละชนิด โดยโรคหนองในเทียมเกิดจากเชื้อที่ชื่อว่า Chlamydia Trachomatis ซึ่งเชื้อนี้สามารถติดต่อได้ทั้งทาง อวัยวะเพศ ทวารหนัก ช่องปาก รวมไปถึงการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกในขณะตั้งครรภ์ อาการของโรคในช่วงแรกจะยังไม่แสดงอาการใด ๆ จนกว่าจะได้รับเชื้อมาสักประมาณ 3 สัปดาห์แล้วจะมีอาการในเพศชาย จะมีมูกใสหรือขุ่นไหลออกจากปลายอวัยวะเพศ ซึ่งไม่ใช่ปัสสาวะหรือน้ำอสุจิมีอาการอักเสบที่บริเวณหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ รู้สึกเจ็บหรือแสบที่อวัยวะเพศขณะปัสสาวะ รู้สึกปวดหรือมีการบวมที่ลูกอัณฑะ ในเพศหญิง มีตกขาวลักษณะผิดปกติและมีกลิ่นเหม็น รู้สึกเจ็บหรือแสบที่อวัยวะเพศขณะปัสสาวะ รู้สึกคันหรือแสบร้อนบริเวณรอบอวัยวะเพศ รู้สึกเจ็บท้องน้อยเวลามีประจำเดือนหรือขณะมีเพศสัมพันธ์

แผลริมอ่อน

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดแผล ตุ่มแดง บริเวณอวัยวะเพศ รู้สึกเจ็บ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบโต สามารถมีอาการได้หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันประมาณ 1 สัปดาห์ และแผลจะค่อย ๆ ขยายตัวออกเป็นแผลหนอง และอาจแตกออกเมื่อถูกเสียดสี ปวดมากในขณะปัสสาวะ อุจจาระ หรือมีเพศสัมพันธ์ ในเพศหญิงอาจมีอาการตกขาวมากและมีกลิ่นรุนแรงผิดปกติ โรคแผลริมอ่อนนี้ไม่สามารถตรวจพบเชื้อได้จากการเจาะเลือดตรวจ จำเป็นจะต้องพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและตรวจดูแผลที่เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศอย่างละเอียด

ฝีมะม่วง

เกิดจากการติดเชื้อ Chlamydia Trachomatis บริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก มีอาการต่อมน้ำเหลืองโตที่ขาหนีบ หรือต้นขาข้างใดข้างหนึ่ง มีตุ่มแผลขนาดเล็กที่อวัยวะเพศ ต่อมน้ำเหนืองอาจโตบวมและรู้สึกเจ็บ ทำให้เดินลำบาก อาจทำให้บริเวณรูทวารหนักมีแผลอักเสบ ปวดบริเวณก้นตลอดเวลา ถ่ายลำบากและรูทวารตีบตัน ในเพศหญิงอาจส่งผลให้อุ้งเชิงกรานอักเสบ ท้องนอกมดลูกหรือประสบภาวะมีลูกยากได้

เริมที่อวัยวะเพศ

เริมที่อวัยวะเพศ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus สามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ โดยจะมีตุ่มน้ำใส ๆ บริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก สะโพก หรือต้นขา จะรู้สึกเจ็บปวด แสบบริเวณแผล หากติดเชื้อเริมครั้งแรกจะมีอาการที่รุนแรงและหายช้า ปัจจุบันยังเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากช่วงใดที่ร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ โรคเริมก็จะกำเริบขึ้นมาได้เช่นกัน ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงจะช่วยอาการของโรคและการกลับมาเป็นซ้ำได้

เชื้อราในช่องคลอด

เชื้อราในช่องคลอด เกิดจากการติดเชื้อราภายในช่องคลอดหรือบริเวณปากช่องคลอด รวมไปถึงในรูทวารหนักด้วย หากมีเพศสัมพันธ์ทางช่องทางนี้ จะทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองอย่างรุนแรงผิดปกติ รู้สึกแสบร้อนขณะที่มีเพศสัมพันธ์หรือปัสสาวะ ในเพศหญิงจะมีการตกขาวสีข้นคล้ายนมบูด หรือน้ำใสขาวข้นจับตัวเป็นก้อน รวมทั้งเกิดผื่นแดงทั้งภายในและภายนอกช่องคลอด อาจเกิดการกระจายไปทั่วบริเวณหัวหน่าว อวัยวะเพศและต้นขา โดยผู้ป่วยจะมีอาการตั้งแต่แรกเริ่มที่ติดเชื้อไปเป็นสัปดาห์ และเป็นซ้ำใหม่ได้ในช่วงก่อนมีประจำเดือนหรือหลังการมีเพศสัมพันธ์เสร็จแล้วก็ได้

พยาธิช่องคลอด

พยาธิช่องคลอด มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อปรสิตผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้รู้สึกคันบริเวณอวัยวะเพศและช่องคลอด มีอาการตกขาวสีเขียว เป็นฟอง และส่งกลิ่นเหม็น รู้สึกเวลาปัสสาวะ รวมทั้งอาจทำให้หญิงที่ตั้งครรภ์เสี่ยงต่อภาวะคลอดก่อนกำหนด และในเพศชายก็สามารถเป็นโรคนี้ได้ด้วยเช่นกันแต่เป็นบริเวณทวารหนัก และมักจะไม่ค่อยแสดงอาการ โดยโรคนี้สามารถรักษาได้ด้วยการทานยาปฏิชีวนะจนกว่าจะหายดี แต่บางรายก็อาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหลังจากรักษาหายไปแล้ว

หูดหงอนไก่

หูดหงอนไก่ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV ที่สามารถเป็นได้ทุกเพศและผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน อาการที่สามารถสังเกตได้ชัดมากที่สุดของโรคหูดหงอนไก่ คือ มีติ่งเนื้อที่มีลักษณะขรุขระคล้ายดอกกะหล่ำขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ หรือทวารหนัก ไม่รู้สึกเจ็บใด ๆ มีขนาดเล็กมากหากไม่ได้สังเกตก็จะไม่ทราบว่ามีหูดหงอนไก่อยู่ แต่ในบางรายก็มีขนาดใหญ่จนทำให้เกิดการระคายเคืองได้ เพราะฉะนั้นการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์จะช่วยป้องกันการติดเชื้อ HPV ได้รวมทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV ก็จะสามารถช่วยป้องกันโรคหูดหงอนไก่หรือโรคมะเร็งปากมดลูกได้

หูดข้าวสุก

หูดข้าวสุก เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Molluscum Contagiosum ทำให้เกิดตุ่มเนื้อที่มีรอยนูนขนาดเล็กประมาณ 2-5 มิลลิเมตร ปรากฏตามผิวหนังบนร่างกาย ใบหน้า ท้อง ลำตัว แขน ขา อวัยวะเพศ ต้นขาด้านใน ข้อพับ แต่มีความแตกต่างจากโรคซิฟิลิส คือไม่เกิดขึ้นที่บริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า หูดข้าวสุกเป็นโรคที่ไม่มีความรุนแรงและสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ผู้ติดเชื้อนี้อาจสามารถหายได้เองภายใน 6-12 เดือนโดยไม่ได้รับการรักษา

หิด

เกิดจากตัวหิดหรือไร ที่จัดเป็นปรสิตชนิดหนึ่งซึ่งสามารถอาศัยอยู่บนร่างกายของคนได้นานกว่า 60 วัน ถือเป็นโรคติดต่อทางผิวหนังและสามารถติดต่อกันได้ทางเพศสัมพันธ์ เพราะต้องสัมผัสร่างกายหรือบริเวณอวัยวะเพศระหว่างคู่นอน ส่งผลให้มีตุ่มผื่นแดง หรือตุ่มน้ำใส ๆ มีอาการคันอย่างรุนแรงโดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืน สามารถพบผื่นหรือตุ่มขึ้นได้ที่บริเวณข้อมือ ง่ามนิ้วมือนิ้วเท้า รักแร้ ข้อศอก เอว สะโพก รอบหัวนม และอวัยวะเพศ หากไม่ทำการรักษาอาจเพิ่มความรุนแรงของโรคมากขึ้น

โลน

โลน พบได้มากที่สุดบริเวณอวัยวะเพศ จึงสามารถติดต่อกันได้ผ่านกิจกรรมทางเพศทุกชนิดไม่ว่าจะมีการสอดใส่หรือไม่ก็ตาม อาการของโลนจะเริ่มแสดงออกในไม่กี่สัปดาห์หลังจากติดโลนมาจากผู้อื่น โดยมีอาการคันบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ใต้รักแร้ โดยเฉพาะบริเวณที่มีขน และจะมีอาการคันมากขึ้นตอนกลางคืน รวมทั้งยังสามารถมีไข้ต่ำ ๆ ร่วมด้วย โลนสามารถรักษาให้หายขาดได้แต่ต้องเน้นเรื่องความสะอาดและงดเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ

การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

สำหรับการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้น สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการไปพบหมอเพื่อวินิจฉัยโรคให้ถูกต้องแล้ว ผู้ป่วยจะต้องคำนึงถึงความสำคัญในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมความเสี่ยงของตนเอง แพทย์มักจะซักประวัติ อาการ ความเสี่ยง การแพ้ยา ประวัติการใช้ยาปฏิชีวนะ หรือประวัติการรักษาหากเคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่อาจไม่แสดงอาการ แพทย์จะทำการตรวจร่างกายทั่วไป โดยเฉพาะผิวหนัง บริเวณผม ช่องปาก และต่อมน้ำเหลือง รวมถึงอวัยวะเพศ เมื่อวินิจฉัยโรคเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะดำเนินการรักษาตามโรคที่ตรวจพบ พร้อมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับโรคที่กำลังเป็นอยู่ และคำปรึกษา แนะแนวทางในการป้องกันโรคอื่น ๆ ที่อาจจะตามมา โดยการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นจะต้องงดการแพร่เชื้อไปสู่คู่นอนของตนเอง ในช่วงระหว่างที่เข้าสู่กระบวนการรักษาควรงดมีเพศสัมพันธ์ หรือหากจำเป็นจริง ๆ จะต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง แพทย์จะนัดหมายให้ผู้ป่วยมาพบหลังทำการรักษา เพื่อติดตามผลว่าหายขาดจากโรคแล้วหรือไม่ อาจแนะนำเพิ่มเติมให้คู่นอนของผู้ป่วยมาทำการตรวจ และรักษาด้วยหากวินิจฉัยแล้วว่ามีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะหากคู่นอนของคุณติดเชื้อไปด้วย ก็จะมีโอกาสเกิดการกลับมาติดเชื้ออีกครั้ง ต้องเสียเวลาและการรักษาใหม่ รวมทั้งแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยที่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกคนเข้ารับการตรวจคัดกรอง HIV เป็นประจำทุก ๆ ปีด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องที่นี่

Exit mobile version